เบียร์เอล - ประเภทและองค์ประกอบของเครื่องดื่ม แตกต่างจากเบียร์ทั่วไปอย่างไร? สูตรทำน้ำขิงที่บ้าน เบียร์เอล: ประเภทและบทวิจารณ์ของลูกค้า

ตัวเลือก: OG: 1.030 - 1.035 | เอฟจี: 1.010 - 1.013 | ค่า ABV: 2.5 - 3.2% | IBU: 10 - 20 | ส.ส.ม.: 9 - 17

ตัวอย่างเชิงพาณิชย์:Belhaven 60/-, McEwan's 60/-, Maclay 60/- Light (ตัวอย่างทั้งหมดเป็นถังเท่านั้น ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา)

สก๊อตสตรอง 70/- (หนัก 70/-)

ตัวเลือก: OG: 1.035 - 1.040 | เอฟจี: 1.010 - 1.015 | ค่า ABV: 3.2 - 3.9% | IBU: 10 - 25| ส.ส.ม.: 9 - 17

ทางการค้าตัวอย่าง: Caledonian 70/- (Caledonian Amber Ale ในสหรัฐอเมริกา), Belhaven 70/-, Orkney Raven Ale, Maclay 70/-, Tennents Special, Broughton Greenmantle

สก็อตแลนด์ส่งออก 80/-

ตัวเลือก: OG: 1.040 - 1.054 | เอฟจี: 1.010 - 1.016 | ค่า ABV: 3.9 - 5.0% | IBU: 15 - 30 | สอาร์เอ็ม: 9 - 17

ทางการค้าตัวอย่าง: Orkney Dark Island, Caledonian 80/- Export Ale, Belhaven 80/- (Belhaven Scottish Ale ในสหรัฐอเมริกา), Southampton 80 Shilling, Broughton Exciseman's 80/-, Belhaven St. Andrews Ale, McEwan's Export (IPA), Inveralmond Lia Fail, Ale ของ Broughton Merlin, Arran Dark

กลิ่นอโรมา:ความหวานของมอลต์ต่ำถึงปานกลาง บางครั้งเน้นด้วยคาราเมลต่ำถึงปานกลางในกาต้มน้ำชง ตัวอย่างบางส่วนมีกลิ่นฮอปต่ำ กลิ่นผลไม้เล็กน้อย ระดับไดอะซิติลต่ำ และ/หรือกลิ่นพีทต่ำถึงปานกลาง (ทั้งหมดนี้เป็นทางเลือก) กลิ่นพีทบางครั้งก็มีกลิ่นเหมือนดิน ควัน หรือแทบไม่ได้กลิ่นเลย

คำอธิบายภายนอก:ช่วงสีตั้งแต่สีเหลืองอำพันเข้มไปจนถึงทองแดงเข้ม โดยปกติแล้วจะใสมากเนื่องจากการหมักแบบเย็นเป็นเวลานาน โฟมมีสีครีมเล็กน้อยถึงปานกลางและมีสีครีมถึงน้ำตาลอ่อน

รสชาติ:รสชาติเริ่มต้นคือมอลต์แต่ไม่เข้มข้นเกินไป ความหวานของมอลต์เริ่มต้นมักจะเน้นด้วยคาราเมลระดับต่ำถึงปานกลางที่เกิดขึ้นระหว่างการต้ม และบางครั้งก็มีส่วนประกอบไดอะซิติลต่ำร่วมด้วย ฟรุ๊ตตี้เอสเทอร์อาจจะปานกลางถึงไม่มีเลย ความขมของฮอปอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง แต่ความสมดุลจะโน้มตัวไปทางมอลต์เสมอ (แม้ว่าจะไม่ได้สำคัญเสมอไป) รสชาติฮอปต่ำถึงไม่มีเลย มีลักษณะเป็นพีเรียมต่ำถึงปานกลางหรือไม่ก็ได้ และอาจมีรสชาติเหมือนดินหรือรมควัน โดยทั่วไปแล้วจะมีเนื้อหยาบและแห้งเนื่องจากมีข้าวบาร์เลย์คั่วที่ไม่มอลต์จำนวนเล็กน้อย

ความรู้สึกทางปาก: ตัวปานกลาง-ต่ำถึงปานกลาง คาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง บางครั้งก็มีความนุ่มเล็กน้อย (ครีม) แต่มักจะค่อนข้างแห้งเนื่องจากใช้ข้าวบาร์เลย์คั่ว

ความประทับใจทั่วไป:ทำความสะอาดมอลต์ด้วยส่วนผสมที่แห้ง อาจมีเอสเทอร์อยู่บ้าง และบางครั้งก็มีกลิ่นเอิร์ธโทนเล็กน้อย (ควัน) ตัวอย่างเบียร์เหล่านี้ส่วนใหญ่มีรสชาติที่ค่อนข้างแห้ง เนื่องจากมีรสชาติค่อนข้างหวาน และมีความสมดุลที่แตกต่างไปจากเบียร์สก็อตรสเข้มข้น

เรื่องราว:เซสชั่นเบียร์สก็อตแบบดั้งเดิมที่สะท้อนถึงวัตถุดิบในท้องถิ่น (น้ำ มอลต์) โดยมีฮอปน้อยกว่าเบียร์ในอังกฤษ (เนื่องจากจำเป็นต้องนำเข้าฮอป) การหมักแบบเย็นเป็นเวลานานมักใช้ในการผลิตเบียร์ของสก็อตแลนด์

หลายคนสนใจคำถาม: เบียร์แท้คืออะไรและแตกต่างจากแอลกอฮอล์ชนิดอ่อนทั่วไปอย่างไร เอลเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และมีปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง ข้อมูลแรกเกี่ยวกับองค์ประกอบของสูตรเบียร์ปรากฏในอังกฤษในศตวรรษที่ 15 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวแทนของอารยธรรมสุเมเรียนบริโภคเครื่องดื่มที่คล้ายกัน

เบียร์แพร่หลายใน Foggy Albion และได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง เครื่องดื่มประจำชาติของชาวไอริช - บรรพบุรุษของชาวไวกิ้ง- ปัจจุบันอังกฤษยังคงเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มฟองรายใหญ่ของโลก (ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของเครื่องดื่มผลิตในอาณาเขตของตน) และในกรณีส่วนใหญ่สามารถดื่มเบียร์แบบดั้งเดิมได้ที่นั่น

การนำทาง

คุณสมบัติของเอล: ความแข็งแรงปริมาณแคลอรี่

ในยุคกลาง เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น ท้ายที่สุดแล้วมันไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขการจัดเก็บพิเศษและไม่ทำให้เสื่อมเสีย และเนื่องจากเครื่องดื่มมีปริมาณเพียงพอ จำนวนมาก แคลอรี่ (ประมาณ 40 แคลอรี่ต่อผลิตภัณฑ์ 100 กรัม)มันเข้ามาแทนที่ขนมปังแสนอร่อยได้อย่างง่ายดาย เชื่อกันมานานแล้วว่าเบียร์มีประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากมีวิตามินและสารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ มากมาย

แท้จริงแล้ว เครื่องดื่มที่เตรียมโดยใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมประกอบด้วยวิตามินบีและอี เช่นเดียวกับแร่ธาตุ เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ตอบคำถามว่าเครื่องดื่มนี้มีกี่องศาก็ควรจะบอกว่าระดับของมันแตกต่างกันไปตั้งแต่ 3 ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ กลิ่นผลไม้ที่น่าพึงพอใจและเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูงทำให้เบียร์เอลเป็นเครื่องดื่มคลายเครียด ท้ายที่สุดแล้วเพียงแก้วเดียวที่บริโภคอย่างมีความสุขใน บริษัท ที่เป็นมิตรจะช่วยให้คุณลืมเรื่องภาวะซึมเศร้าและยกระดับจิตวิญญาณของคุณ แต่คุณไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในทางที่ผิด

ความแตกต่างระหว่างเบียร์กับเบียร์คืออะไร?

เครื่องดื่มไวน์มีความแตกต่างกันในด้านองค์ประกอบและกระบวนการทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสมบัติเด่นที่โดดเด่นของเบียร์ที่เตรียมโดยใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมคือ ไม่มีฮ็อป- สถานการณ์นี้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ปรุงเร็วขึ้นและให้รสชาติที่หวานเป็นพิเศษ ช่อดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มมอบให้โดยสมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ ที่มีอยู่ในเครื่องดื่ม นอกจากนี้ควรสังเกตว่าเทคโนโลยีการเตรียมเกี่ยวข้องกับการหมักด้านบนที่อุณหภูมิคงที่ 15 ถึง 24 องศา ด้วยเทคโนโลยีนี้ ในระหว่างกระบวนการหมัก ยีสต์จะถูกกักไว้ที่ด้านบนของของเหลว ทำให้เกิดฟองโฟมอันเขียวชอุ่ม เมื่อใช้วิธีการหมักขั้นสูง เครื่องดื่มจะอุดมไปด้วยเอสเทอร์และแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น ทำให้มีกลิ่นหอมและค้างอยู่ในคออย่างน่าพึงพอใจ กระบวนการเตรียมเอลจบลงด้วยระยะสุกที่อุณหภูมิ 11 ถึง 12 องศา ซึ่งจะเพิ่มความแรงของเครื่องดื่ม โดยปกติกระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณสี่สัปดาห์ แต่ก็มีหลายรูปแบบที่ใช้เวลาสี่เดือน

เบียร์เครื่องดื่มเบียร์มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการผลิต สี และรสชาติ ลองดูพันธุ์ยอดนิยม:

ขมหรือเรียกอีกอย่างว่าเบียร์ขม ผลิตภัณฑ์นี้ถือเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของอังกฤษ มันเป็นเพราะความจริงที่ว่าพวกเขาเริ่มเพิ่มฮ็อพจำนวนเล็กน้อยลงในเบียร์เอล เครื่องดื่มมีรสขมและมีสีทองแดง
เบียร์สีซีดเตรียมโดยใช้ไลท์มอลต์และน้ำจากพื้นที่เบอร์ตัน (อังกฤษ) เครื่องดื่มมีรสชาติที่น่าพึงพอใจและขมเล็กน้อย
อินเดียเพลเอลถูกประดิษฐ์ขึ้นในอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษในขณะนั้น เครื่องดื่มมีความโดดเด่นด้วยฮ็อพและความแข็งแกร่งจำนวนมาก
พอร์เตอร์- เครื่องดื่มมีรสชาติดี มีส่วนผสมของความหวานและความขมที่ลงตัวที่สุด น้ำตาลเผาและดาร์กมอลต์ใช้ในการผลิตเบียร์ประเภทนี้
อ้วน.คุณสมบัติพิเศษของเครื่องดื่มคือส่วนผสมจะต้องถูกทอดให้ละเอียดก่อน เบียร์เอลชนิดนี้มีหลายพันธุ์ (ขิง เบียร์แห้ง ฯลฯ)
เบียร์สีน้ำตาลในขั้นต้นเครื่องดื่มนั้นเป็นเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ แต่ต่อมาเริ่มมีการเพิ่มฮ็อปในปริมาณมากซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะขององค์ประกอบที่ทันสมัย เบียร์เอลมีรสชาติที่แตกต่างกันได้ ตั้งแต่รสถั่วไปจนถึงน้ำตาลไหม้
ลิ้นจี่กุหลาบเครื่องดื่มฟองชนิดพิเศษโดดเด่นด้วยรสชาติที่น่าพึงพอใจและมีคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากซึ่งทำให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นประกาย
ออริจินอลเอล “เรียลเอล”- มีความโดดเด่นเนื่องจากไม่ผ่านขั้นตอนการกรองและพาสเจอร์ไรซ์ ในเวลาเดียวกันสามารถเก็บเครื่องดื่มได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ต้องบอกว่าเครื่องดื่มนี้ยังคงรักษาคุณลักษณะทั้งหมดของเบียร์เอลอังกฤษที่สืบต่อมาจากเรามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18

ดื่มเอลอย่างไร?

โดยหลักการแล้ว เอลจะถูกบริโภคในลักษณะเดียวกับเบียร์ทั่วไป ค่อยๆเทลงไปตามขอบแก้ว ขั้นตอนนี้จำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดฟองเป็นจำนวนมาก ในบางกรณีขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณห้าถึงเจ็ดนาที คุณไม่ควรเร่งรีบและดื่มเบียร์ในปริมาณมาก แต่ไม่ควรลากออกไปนานเกินไป เพราะเครื่องดื่มอาจมอดลงและสูญเสียกลิ่นไป ตามเนื้อผ้า แก้วเบียร์จะดื่มในสามจิบโดยหยุดพักเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเอล เสิร์ฟที่อุณหภูมิเครื่องดื่มตั้งแต่ 6 ถึง 12 องศาแต่ในอังกฤษเป็นเรื่องปกติที่จะดื่มดาร์กเอลอุ่นเครื่อง อย่างที่พวกเขาพูดกันว่าไม่มีสหายในเรื่องสีและรสนิยม

คุณสามารถทำจินเจอร์เอลด้วยตัวเองที่บ้านโดยมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์

ในการเตรียมเครื่องดื่มขนาด 5 ลิตร คุณจะต้องมีส่วนผสมดังต่อไปนี้:

น้ำตาล 300 กรัม

ยีสต์ 1 ช้อนชา

ขิง (หนึ่งราก)

ขิงขูดมะนาวบีบลงในภาชนะเดียวกันและวางส่วนผสมที่เหลือ มวลที่ได้จะถูกเทลงในน้ำต้มสุกทำให้เย็นลงที่อุณหภูมิ 40 องศา

ผสมองค์ประกอบในภาชนะที่มีเครื่องปิดผนึกน้ำเป็นเวลาสองวัน หลังจากนั้นให้วางเครื่องดื่มไว้ในตู้เย็นอีก 24 ชั่วโมง ต่อจากนั้นก็สามารถดื่มเบียร์โฮมเมดได้

อันตรายจากเบียร์เอลและข้อห้าม

เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์อื่นๆ เอลสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ได้หากถูกทำร้าย ไม่ควรนำเสนอแก่เด็ก สตรีมีครรภ์ หรือสตรีมีครรภ์ เอลเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหากบริโภคในปริมาณมากทุกวันก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับแข็งได้ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคพิษสุราเรื้อรังจากเบียร์ได้

เรารู้อะไรเกี่ยวกับเอล? บางคนเชื่อว่าชื่อนี้เป็นคำพ้องของคำว่า "เบียร์" บางคนเชื่อว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มฟองข้าวบาร์เลย์ประเภทหนึ่ง และบางคนก็มั่นใจว่าเพลงบัลลาดอันไพเราะของ Stevenson (แปลโดย Marshak) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเบียร์เอลไอริช โปรดจำไว้ว่า: “และพระองค์ทรงหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง เมายิ่งกว่าเหล้าองุ่น...”? สตีเวนสันอธิบายว่าเบียร์เอลนี้ผลิตโดยคนแคระในถ้ำที่สร้างจากต้นเฮเทอร์บนภูเขา จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง? มาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของเอล ซึ่งเป็นเครื่องดื่มไอริชและสก็อตแลนด์แบบดั้งเดิม เราลองที่นี่ได้ไหม? เขามีเบียร์ประเภทใดบ้างในบ้านเกิดของเขาและในประเทศอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาวัฒนธรรมการผลิตเบียร์แบบดั้งเดิม?

ประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่ม

ตอนนี้ใครๆ ก็รู้แล้วว่าเบียร์ผลิตจากฮ็อพ ข้าวบาร์เลย์ (บางครั้งก็เป็นข้าวสาลีหรือข้าว) มอลต์และน้ำ แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เชื่อกันว่าความลับของเบียร์ถูกค้นพบโดยชาวสุเมเรียนโบราณเมื่อห้าพันปีก่อน แต่พวกเขาต้มโดยไม่ใช้ฮ็อป กระบวนการทำเครื่องดื่มใช้เวลาไม่นานเหมือนตอนนี้ มอลต์ที่ไม่มีฮ็อปจะหมักเร็วกว่า แต่เครื่องดื่มกลับมีรสหวานกว่า เพื่อเพิ่มความขมอันเป็นที่ชื่นชอบและปรับสมดุลของรสชาติ จึงเริ่มเติมฮ็อปลงในเบียร์ แต่พืชชนิดนี้ไม่เป็นที่รู้จักในเกาะอังกฤษจนกระทั่งศตวรรษที่ 15 เมื่อเริ่มนำเข้าจากฮอลแลนด์ ในความสัมพันธ์กับเครื่องดื่มใหม่ที่ชงด้วยการเติมฮอปคำว่า "เบียร์" ถูกนำมาใช้และสำหรับเครื่องดื่มแบบดั้งเดิม - "เบียร์" (เบียร์) นอกจากเทคโนโลยีแล้วยังแตกต่างจากเครื่องดื่มข้าวบาร์เลย์ที่คุ้นเคยในเรื่องรสชาติ เบียร์เอลอังกฤษ สก็อตแลนด์ และไอริชเป็นที่รู้จัก แต่ตอนนี้ก็มีการผลิตในเบลเยียมและเยอรมนีด้วย

เทคโนโลยี

เราจะไม่ลงรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่นี่ ให้เราติดตามเฉพาะแผนการผลิตทั่วไปเท่านั้น เบียร์เอลไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ต่างจากเบียร์ลาเกอร์ตรงที่มีรสขมและสงบ ความหวานของมอลต์ (ธัญพืชที่แตกหน่อและหมัก) ในเครื่องดื่มโบราณไม่ได้สมดุลโดยฮ็อป แต่ด้วยส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพรที่เรียกว่า gruit มันถูกต้มในสาโท ในระหว่างการปรุงอาหาร ยีสต์จะไม่จมลงด้านล่าง แต่จะลอยอยู่บนพื้นผิว เบียร์ไอริชถูกปล่อยให้หมักที่อุณหภูมิห้อง 15-24 องศาเซลเซียส เบียร์ลาเกอร์จะถูกเก็บในที่เย็น (5-10 องศาเซลเซียส) และยีสต์ในเบียร์จะจมลงไปที่ก้นถัง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเอลจึงถูกเรียกว่าเบียร์หมักชั้นยอด แต่ถึงแม้จะเทลงในถังเครื่องดื่มนี้ก็ไม่เคยหยุดทำให้สุก เติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อดำเนินกระบวนการหมักต่อ ทั้งรสชาติและความแรงของมันเปลี่ยนไปตามระยะเวลาที่ดื่ม จากนั้นจึงบรรจุขวดเพื่อหยุดกระบวนการสะสมแอลกอฮอล์

ลักษณะเครื่องดื่ม

ที่อุณหภูมิสูง กระบวนการหมักจะเร็วกว่าเบียร์ลาเกอร์ชนิดเดียวกัน และมีความรุนแรงมากกว่ามาก หากไม่มีความขมของฮอปด้วยการเติมสมุนไพรเครื่องดื่มจะมีรสหวานมากขึ้นพร้อมรสชาติผลไม้ที่เข้มข้น อาจเป็นกลิ่นหอมของลูกพรุน กล้วย สับปะรด ลูกแพร์ หรือแอปเปิ้ล ผลจากการที่เครื่องดื่มถูกปล่อยให้สุกในถัง ทำให้กลายเป็น "เหล้ามากกว่าไวน์" เบียร์ไอริชเอลมีความแรงแค่ไหน? กี่องศาคะ? เช่นเดียวกับไวน์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการบ่ม คนขนของ ตั้งชื่อนี้เพราะว่าคนขนยาวชอบความแข็งแกร่งของมัน โดยประกอบด้วยแอลกอฮอล์ 10% และในไวน์ข้าวบาร์เลย์ - ทั้งหมด 12 ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องดื่มที่อ่อนแอกว่า: ซอฟท์เอลหรือไลท์เอล (2.5-3.5%) แต่สิ่งที่เป็นปกติของเบียร์ประเภทนี้คือมีรสหวานมากกว่าและไม่มีรสขม และความคงตัวของมันก็เข้มข้นและเข้มข้นกว่าเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาแบบดั้งเดิม

เบียร์เอลไอริชหลากหลายชนิด

เครื่องดื่มดังกล่าวได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนมากจนคงจะแปลกหากสูตรของมันยังคงเป็นสูตรเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง ในไม่ช้าเครื่องดื่มน้ำผึ้งแบบดั้งเดิมก็ตามมาด้วยพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งโดยวิธีการนั้นจะถูกเทโดยไม่มีแรงกดดันจากด้านบนซึ่งแตกต่างจากเบียร์ทั่วไป ในหมู่พวกเขาควรสังเกตเบียร์เอลไอริชสีเข้ม นี่คือกินเนสส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก สเตาต์นี้ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นผู้ประกอบการในดับลิน โดยได้สีกาแฟจากการเติมเมล็ดข้าวบาร์เลย์คั่วและมอลต์คาราเมล เรียกอีกอย่างว่าลูกหาบที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษแม้ว่าจะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 7% ก็ตาม Kilkenny ซึ่งเป็นเบียร์เอลแดงของชาวไอริชก็เป็นที่นิยมเช่นกัน มีรสชาติเข้มข้นและมีสีทับทิมเข้มข้น ได้ชื่อมาจากเมืองเล็กๆ ในไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์เซนต์ฟรานซิส พระในท้องถิ่นผลิตเบียร์นี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ความแรงของเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณ 4% และได้สีที่น่าสนใจโดยการเติมมอลต์คาราเมลแปรรูปพิเศษจำนวนเล็กน้อย

เบียร์ไอริชในทวีปยุโรป

ในประเทศเหล่านั้นที่ประเพณีการผลิตเบียร์มีรากฐานมาจากอดีตอันไกลโพ้น การผลิตเบียร์ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว การใช้ฮ็อพถือเป็นนวัตกรรมของชาวเยอรมัน ในเบลเยียม พระสงฆ์ในคณะ Trappist เข้ากันได้ดีหากไม่มีพระสงฆ์ตั้งแต่ยุคกลางตอนต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ผลิตเบียร์ก็เริ่มทำการทดลอง โดยเติมฮอป ข้าวบาร์เลย์ มอลต์ข้าวสาลี ยีสต์ และแม้แต่น้ำผลไม้ลงในเครื่องดื่ม นี่คือที่มาของเบียร์หลากหลายชนิด เช่น Rhenish Kölsch (เครื่องดื่มที่มีฟองเบาบาง) Altbier (แปลตามตัวอักษรว่า "เบียร์เก่า") ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในเยอรมนีเช่นกัน มันถูกชงในดุสเซลดอร์ฟ เบลเยียมสามารถเกลี้ยกล่อมด้วยเบียร์ได้แม้กระทั่งผู้ที่อ้างว่าพวกเขาทนไม่ได้กับเครื่องดื่มนี้ ต้องลอง "Scream" และ "Trappist Fathers", "Double" และ "Triple" เท่านั้น โดยมีกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ กล้วย เชอร์รี่...

เอลในรัสเซีย

ในดินแดนอัลไตในหมู่บ้าน Bochkari เบียร์ไอริชเพิ่งเริ่มผลิตเช่นกัน รีวิวจากผู้ที่ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้กล่าวว่าเครื่องดื่มของรัสเซียมีความคล้ายคลึงกับต้นฉบับ จิบแรกให้ความรู้สึกผิด ๆ เกี่ยวกับรสขม แต่ตั้งแต่วินาทีแรกจะเผยให้เห็นความหวานของคาราเมลที่เต็มอิ่ม กลิ่นหอมครีมท๊อฟฟี่ สีคอปเปอร์-แอมเบอร์ ฟองไม่เยอะจนเกินไป ในตอนจบไม่มีความขมขื่น แต่มีเพียงรสชาติของเมล็ดข้าวคั่วเล็กน้อย รีวิวอ้างว่าเบียร์นี้ดื่มง่าย มันให้ความรู้สึกโดยรวมของเครื่องดื่มหมักในระดับปานกลาง นี่คือสิ่งที่เป็น - เบียร์รัสเซียชื่อ "ไอริชเอล" กี่องศาคะ? ปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างชัดเจน - 6.7 เปอร์เซ็นต์

fb.ru

จิงเจอร์เอล

Ginger ale เป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นและหวานละเอียดอ่อนพร้อมกลิ่นหอมของขิงอ่อนๆ มักบริโภคในรูปแบบบริสุทธิ์ แต่บางครั้งก็เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมของค็อกเทล

นอกจากรสชาติแล้ว Ginger ale ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย ขอแนะนำให้ใช้สำหรับอาการอาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการไอและเจ็บคอด้วย ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น Ginger ale เป็นที่นิยมในม็อกเทล สิ่งนี้จะช่วยคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่อยากทะเลาะกับบริษัทด้วย ถ้าอย่างนั้น เรามาดูสูตรสองสามสูตรในการทำเอลกันดีกว่า

สูตรน้ำขิงที่ไม่มีแอลกอฮอล์

วัตถุดิบ:

รากขิง – 150 กรัม;
น้ำตาลทราย – 4 ช้อนโต๊ะ ช้อน;
มะนาว – 3 ชิ้น;
น้ำอัดลม - 3 ลิตร;
ใบสะระแหน่ - เพื่อลิ้มรส

การตระเตรียม

วิธีทำน้ำขิงที่บ้าน? นำขิงสดมาปอกเปลือกแล้วขูดบนเครื่องขูดหยาบและผสมให้เข้ากันกับน้ำตาลทรายโดยไม่ต้องสะเด็ดน้ำออก จากนั้นเติมผิวมะนาวขูดละเอียดผสมและกดส่วนผสมที่ได้กับของหนักประมาณ 20 วินาที ต่อไปเราส่งมะนาวที่ปอกเปลือกแล้วผ่านเครื่องคั้นน้ำผลไม้แล้วเติมน้ำทั้งหมดลงในส่วนผสมของเรา เติมน้ำอัดลมแล้วปล่อยให้เครื่องดื่มชงประมาณ 10 นาที จากนั้นค่อยชิมรสชาติ และถ้ามันเปรี้ยวเกินไปก็เติมน้ำตาลอีกเล็กน้อย และถ้ามันหวานก็เจือจางด้วยน้ำมะนาว กรองเครื่องดื่มที่เสร็จแล้วแล้วเทลงในแก้ว ตกแต่งด้านบนด้วยกิ่งสะระแหน่ ในวันฤดูร้อน คุณสามารถเพิ่มน้ำแข็งลงในเครื่องดื่มได้

สูตรน้ำขิงที่มีแอลกอฮอล์

วัตถุดิบ:

น้ำตาล – 1 ช้อนโต๊ะ;
รากขิง – 30 กรัม;
น้ำมะนาว – 0.5 ช้อนโต๊ะ;
ยีสต์แห้ง - ¼ช้อนชา;
น้ำเย็นต้ม – 2 ลิตร

การตระเตรียม

วิธีทำจินเจอร์เอลที่มีแอลกอฮอล์? ดังนั้นให้ใช้ขวดพลาสติกขนาด 2 ลิตรที่สะอาดแล้วเทน้ำตาลและยีสต์แห้งลงไปโดยใช้ช่องทาง จากนั้นนำรากขิงสดมาปอกเปลือกแล้วขูดบนเครื่องขูดละเอียด คุณควรมีประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ขิงบดหนึ่งช้อน ค่อยๆ ใส่ขิงขูดลงในถ้วยตวงเหลี่ยมเพชรพลอยแล้วพักไว้

นำมะนาวบีบน้ำออกแล้วเติมขิงลงในแก้ว ผสมเนื้อหาของแก้วให้ละเอียดจนได้มวลที่เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อยแต่เย็นแล้วคนให้เข้ากัน หากคุณยังคงต้องการทำเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ในขั้นตอนนี้เพียงแค่เติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาล ผสมแล้วเทลงในแก้ว ตกแต่งด้วยสะระแหน่สด แต่เพื่อให้ได้แอลกอฮอล์หรือหมัก จิงเจอร์เอลเทเนื้อหาของแก้วลงในขวดที่มียีสต์และน้ำตาลอย่างระมัดระวัง ปิดฝาทุกอย่างแล้วเขย่าให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายหมด จากนั้นเราเทน้ำลงในขวดโดยเหลือคอให้สั้นประมาณ 2 ซม. ตอนนี้เราใส่เครื่องดื่มไว้ในที่อบอุ่นแล้วรอ 2 วันเพื่อให้เบียร์หมัก คุณสามารถตรวจสอบระดับการหมักได้ด้วยวิธีต่อไปนี้: ใช้นิ้วกดขวดเบา ๆ และทันทีที่ขวดแข็งและไม่กดลง การหมักก็เสร็จสิ้น โดยปกติกระบวนการนี้จะใช้เวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นน้ำขิงที่มีแอลกอฮอล์ก็พร้อม ก่อนดื่ม ให้กรองเครื่องดื่มผ่านกระชอนหรือผ้าขาวบาง ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง: ก่อนที่จะเปิดขวดจินเจอร์เอลจะต้องทำให้เย็นลงในตู้เย็นล่วงหน้ามิฉะนั้นเครื่องดื่มก็จะกระเด็นออกมา

เทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงในแก้ว ตกแต่งด้วยสะระแหน่ อบเชย หรือผิวส้ม แล้วเสิร์ฟ

womanadvice.ru

จิงเจอร์เอล

เราทุกคนรู้จักเบียร์หลายประเภท แต่ในหมู่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่น - จินเจอร์เอล (เบียร์) โดยหลักการแล้วเครื่องดื่มนี้มีเพียงสีและโฟมเท่านั้นที่สามารถทำให้เรานึกถึงเบียร์จริงๆ ไม่มีแอลกอฮอล์ในเวอร์ชันคลาสสิก แต่มีสูตรอาหารที่ให้คุณเตรียมเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ที่บ้านโดยไม่ยากมากนัก เบียร์ของคุณจะแตกต่างจากเบียร์ที่ซื้อในร้านเพียงเพราะมีผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เบียร์ขิงเป็นเครื่องดื่มสีน้ำตาลที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูง มีรสหวาน และมีกลิ่นขิงเข้มข้น ตามกฎแล้วมันจะเมาแช่เย็นในรูปแบบบริสุทธิ์หรือเติมลงในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น (วอดก้า, วิสกี้, จิน) เบียร์ขิงอาจมีรสชาติเหมือน kvass ทั่วไปซึ่งอาจหวานกว่าเล็กน้อย แทนที่จะใช้มอลต์ จะใช้ส่วนผสมที่ประกอบด้วยขิง มะนาว และน้ำตาลอ้อย เครื่องดื่มนี้คิดค้นโดยศัลยแพทย์และเภสัชกรชาวอเมริกัน Thomas Cantrell สูตรสำหรับเบียร์ดังกล่าวปรากฏครั้งแรกในยุค 70 ของศตวรรษที่ 19

สูตรเบียร์ขิงไม่มีแอลกอฮอล์

วัตถุดิบ:

การตระเตรียม:

ขูดรากขิงแล้วผสมกับน้ำตาล เพิ่มน้ำมะนาวและผสมให้เข้ากัน เทส่วนผสมของเราด้วยน้ำแร่ประกายเย็น ปล่อยให้นั่งเป็นเวลา 5 นาที จากนั้นกรองเบียร์ขิงผ่านผ้าขาวบาง ใส่สะระแหน่และมะนาวฝานเล็กน้อย เสิร์ฟไปที่โต๊ะ

สูตรเบียร์ขิงแอลกอฮอล์

วัตถุดิบ:

ขิงบด 25 กรัม
น้ำตาล 400 กรัม
ไวน์ขาว 150 มล.
น้ำ 4 ลิตร
ยีสต์แห้ง 15 กรัม

การตระเตรียม:

ผสมขิงกับไวน์และน้ำตาล เติมน้ำร้อน และปล่อยให้เย็นถึง 30°C เพิ่มยีสต์แห้ง เมื่อสังเกตเห็นการหมักได้ชัดเจน หลังจากผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง ให้เทเบียร์ขิงลงในขวดแล้ววางไว้ใต้ซีลน้ำ (หรืออาจใส่ถุงมือแพทย์ลงบนขวดแล้วเจาะรูที่นิ้วข้างใดข้างหนึ่งก็ได้) เรากรองเครื่องดื่มด้วยผ้าขาวม้าหลังจากผ่านไป 2 วัน เทลงในขวด ปิดฝาให้แน่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น หลังจากแช่ตู้เย็นไว้หนึ่งวัน Ginger ale ก็พร้อมดื่ม มันเกิดฟองเหมือนเบียร์จริง ๆ เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์

เบียร์ขิงจาเมกา

วัตถุดิบ:

ครีมทาร์ทาร์ 30 กรัม;
ขิง 100 กรัม
น้ำตาลทราย 2 กก.
4 มะนาว;
แพคเกจยีสต์ต้มเบียร์

การตระเตรียม:

ผสมมะนาวสับกับเปลือก ขิงขูด น้ำตาล และครีมออฟทาร์ทาร์ จากนั้นปรุงส่วนผสมนี้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงโดยใช้ไฟอ่อน ๆ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เย็นลงที่อุณหภูมิห้องและเพิ่มยีสต์ ส่วนผสมหมักไว้หนึ่งวัน จากนั้นเราก็เทลงในภาชนะอีกใบแล้วปล่อยทิ้งไว้จนสุกเต็มที่

เล็กน้อยเกี่ยวกับคุณสมบัติของเบียร์ขิง:

ชื่อที่สองของเบียร์ขิงคือน้ำมะนาวขิง
เข้ากันได้ดีกับวิสกี้
เบียร์ขิงที่ไม่มีแอลกอฮอล์มักถูกดื่มโดยตัวละครจากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์
ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ ไอ และอาหารไม่ย่อย

oimbire.com

Ginger ale: คุณสมบัติของเครื่องดื่มและสูตรอาหาร

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์จำนวนมาก โดยที่เบียร์เอลเป็นที่นิยมอย่างมาก นี่คือเบียร์ประเภทหนึ่งที่ผลิตโดยการหมักอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิสูง และประวัติของการปรากฏตัวของเครื่องดื่มนี้มีมาตั้งแต่ยุคกลาง เครื่องดื่มมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงจินเจอร์เอลด้วย มีคำถามมากมายเกิดขึ้น: มันคืออะไร, ส่วนประกอบของมันคืออะไร, มีคุณสมบัติอะไรบ้างและจะเตรียมน้ำขิงที่บ้านได้อย่างไร? เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องหันไปหาประวัติศาสตร์ กล่าวคือถึงประวัติความเป็นมาของการสร้างเครื่องดื่มนี้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง

ประวัติความเป็นมาของน้ำขิง

จิงเจอร์เอลเป็นเครื่องดื่มอัดลมสูงที่มีรสหวานและมีกลิ่นหอมเล็กน้อยของขิงเป็นเรื่องปกติที่จะดื่มเครื่องดื่มนี้ทั้งในรูปแบบบริสุทธิ์และเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมของค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์ Ginger ale สามารถเตรียมได้ทั้งแบบมีแอลกอฮอล์และเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ไม่มีแอลกอฮอล์

เบียร์ขิงปรากฏในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ในเขตยอร์กเชียร์ของอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมของเบียร์ก็แพร่กระจายไปทั่วอังกฤษ และในศตวรรษที่ 20 ในช่วงเริ่มต้น เมื่อมีการห้ามในสหรัฐอเมริกา จินเจอร์เอลเป็นสินค้าพื้นบ้านประเภทหนึ่ง ในเวลานี้เบียร์ขิงได้รับสถานะเป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นอร่อยและมีโทนิค

องค์ประกอบและคุณสมบัติของน้ำขิง

สูตรดั้งเดิมสำหรับเครื่องดื่มประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รากขิง น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาว และยีสต์ ส่วนผสมถูกทิ้งไว้ให้หมักเป็นเวลาหลายวันหลังจากนั้นจึงได้เบียร์ขิงที่ยอดเยี่ยม เครื่องดื่มอาจมีน้ำผึ้ง มะนาวหรือมะนาว ผลไม้ และกลีบต้นชา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสูตร เบียร์เอลมี 2 ประเภท: มืดและสว่าง ดาร์กเอลมีสีน้ำตาลเข้มกว่าและมีกลิ่นหอมสว่างกว่าไลท์เอล

Ginger ale มีประสิทธิภาพอย่างมากในการรักษาโรคหวัดและกระบวนการอักเสบอื่นๆ เนื่องจากขิงเป็นส่วนผสมหลัก มีคุณสมบัติเป็นยาที่มีประโยชน์มาก เครื่องเทศนี้มีวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมาก เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิคอน โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินซี และอื่นๆ ขิงออกฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดได้ดีและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามบางประการในการดื่มจินเจอร์เอล ไม่ควรรับประทานโดยผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ โรคผิวหนังอักเสบในช่วงที่กำเริบ แผลในกระเพาะอาหาร และโรคนิ่วในไต คุณควรงดดื่มเครื่องดื่มนี้ระหว่างมีเลือดออกตามตำแหน่งต่างๆ ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ และระหว่างให้นมบุตร

สูตรน้ำขิง

ในการทำจินเจอร์เอลที่บ้านคุณไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ คุณเพียงแค่ต้องเลือกสูตรอาหารตามรสนิยมของคุณและติดอาวุธให้ตัวเองด้วยรายการผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น เรามาดูวิธีการเตรียมเครื่องดื่มนี้กันดีกว่า

สูตรการทำน้ำขิงไม่มีแอลกอฮอล์ประกอบด้วย:

รากขิง – 150 กรัม;
น้ำตาลทราย – 4 ช้อนโต๊ะ ช้อน;
มะนาว – 3 ชิ้น;
น้ำอัดลม - 3 ลิตร;
ใบสะระแหน่เพื่อลิ้มรส

ต้องปอกเปลือกรากขิงสดและขูดแล้วรวมกับน้ำตาลทราย คุณต้องเอาความสนุกออกจากมะนาวและขูดให้ละเอียดแล้วเติมขิงและน้ำตาลลงในส่วนผสม มะนาวที่ปอกเปลือกแล้วจะต้องผ่านเครื่องคั้นน้ำผลไม้ เพิ่มน้ำผลที่ได้ลงในขิงและเติมส่วนผสมทั้งหมดด้วยน้ำอัดลม ปล่อยให้เบียร์ที่ได้ต้มเป็นเวลา 10 นาที จากนั้นกรองเครื่องดื่ม เทใส่แก้วและตกแต่งด้วยใบสะระแหน่

สูตรการทำเบียร์เอลแอลกอฮอล์แบบคลาสสิกประกอบด้วย:

น้ำตาล - 1 แก้ว;
รากขิง – 30 กรัม;
น้ำมะนาว - ครึ่งแก้ว;
ยีสต์แห้ง - ครึ่งช้อนชา;
น้ำเย็น – 2 ลิตร

เทส่วนผสมแห้ง เช่น น้ำตาลและยีสต์ ลงในขวดแก้วที่สะอาด จากนั้นใส่ขิงที่ปอกเปลือกและขูดแล้วลงไป ต้องผสมน้ำมะนาวกับขิงน้ำตาลทรายและยีสต์ให้ละเอียดจนได้ความสม่ำเสมอที่เป็นเนื้อเดียวกัน ปิดฝาส่วนผสมนี้แล้วรอจนกระทั่งน้ำตาลทรายละลาย

จากนั้นคุณต้องเติมน้ำที่มีส่วนผสมของขิงลงในขวด จากนั้นใส่เอลในที่อบอุ่นเป็นเวลา 2 วันจนกว่ากระบวนการหมักจะเริ่มขึ้น สูตรนี้ต้องใช้เวลาหมัก 24 ถึง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะต้องกรองน้ำขิงและแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ

สูตรเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์พร้อมขิงและน้ำผึ้งประกอบด้วย:

ขิงสด 50 กรัม
1 มะนาว;
น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา
น้ำแร่ 1 ลิตร

เพื่อเตรียมเครื่องดื่มคุณจะต้องเอาความสนุกออกจากมะนาวแล้วรวมกับขิงปอกเปลือกขูดละเอียด จากนั้นเติมน้ำผึ้งลงในส่วนผสมของมะนาวและขิงแล้วคนให้เข้ากันจนละลายหมด ทิ้งส่วนผสมนี้ไว้และหลังจากผ่านไป 10 นาทีให้เติมน้ำแร่ลงไป ปิดฝาภาชนะด้วยเบียร์เอลที่เตรียมไว้ให้แน่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

สูตรน้ำขิงกับลูกเกดประกอบด้วย:

น้ำเย็น 4 ลิตร
รากขิง 200 กรัม
3 มะนาว;
น้ำตาล 0.5 กก.
ลูกเกด 100 กรัม

สูตรนี้ต้องใช้ความอุตสาหะและการทำงานค่อนข้างนาน แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า เพื่อเตรียมจินเจอร์เอลนี้ คุณต้องใส่ลูกเกดลงในขวดลิตร เติมน้ำมะนาว 1 ลูกพร้อมกับเนื้อไก่ น้ำตาล 2 ช้อนชา และขิงขูด 1 ช้อนชา ส่วนผสมทั้งหมดนี้ต้องเทน้ำ 300 มล. คลุมด้วยผ้าบาง ๆ แล้วทิ้งไว้ในที่อบอุ่นเป็นเวลา 3 วัน หลังจากเวลาที่กำหนดส่วนผสมจะเริ่มหมักและหลังจากนั้นจะต้อง "ป้อน" นั่นคือเพิ่มน้ำตาล 2 ช้อนชาและขิง 1 ช้อนชาทุกวันเป็นเวลา 7 วัน

ในวันที่ 10 เติมน้ำตาล 0.5 กก. ลงในน้ำเดือด 600 มล. แล้วคนให้เข้ากันจนเกิดน้ำเชื่อมใส เติมน้ำมะนาวที่เหลือลงไป คนและกรอง เทสารละลายที่ได้ลงในน้ำที่เหลือผสมให้ละเอียดแล้วเทลงในภาชนะที่เตรียมไว้ล่วงหน้า หมักทิ้งไว้ 4 วัน แล้วนำไปแช่ตู้เย็น

สูตรเบียร์กับวิสกี้ก็ผิดปกติเช่นกัน เพื่อเตรียมความพร้อมคุณต้องมี:

สก๊อตวิสกี้ 50 มล.
เบียร์ขิงที่เตรียมไว้ล่วงหน้า 150 มล.
มะนาวครึ่งลูก
น้ำแข็ง 200 กรัม

เติมน้ำแข็งลงในแก้วค็อกเทลด้านบน เทวิสกี้และจินเจอร์เอล บีบน้ำมะนาวครึ่งลูกลงไป คุณสามารถตกแต่งค็อกเทลด้วยผิวเลมอนหรือใบสะระแหน่ ควรใช้สูตรนี้เมื่อจัดงานปาร์ตี้ที่อบอุ่นเป็นกันเอง
ในสภาพอากาศร้อน เครื่องดื่มขิงเย็นๆ จะช่วยบรรเทาความกระหายได้โดยตรง เนื่องจากขิงให้ผลโทนิค ในขณะที่มะนาวให้ความสดชื่นที่น่าพึงพอใจ

pro-imbir.ru

สูตรอาหาร: จิงเจอร์เอล | เบียร์ การต้มเบียร์ และความบ้าคลั่งเบียร์

ส่วนผสมทั้งหมดสำหรับเบียร์ถูกรวบรวมไว้แล้ว!

ความคิดเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับส่วนผสม:

วันนี้ผมทำจินเจอร์เอล 5 ลิตร ครับ ในภาพจึงมีส่วนผสมมากกว่า 2-2.5 เท่าครับ
รากขิงมีจำหน่ายในร้านค้าและมีราคาไม่แพงนัก
ฉันใช้ยีสต์ Saf Levure ด้วยเหตุผลสามประการ: ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีจำหน่ายในหลาย ๆ ที่ และจากบริษัทนี้เท่านั้นที่ฉันเห็นยีสต์สำหรับเครื่องดื่ม (บรรจุภัณฑ์สีน้ำเงิน) แต่ยีสต์ขนมปังปกติ (สีแดง) ก็ใช้ได้ดี ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเจออะไรก็ควรใช้มัน
คุณยังสามารถใช้น้ำตาลธรรมดาได้ซึ่งจำเป็นสำหรับสองสิ่ง: เพื่อให้ยีสต์มีของกินและแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์และเพื่อความหวานด้วย แต่ในความคิดของฉันกกนั้นดีกว่ามาก ฉันซื้อน้ำตาลอ้อยจากต่างประเทศเพราะในประเทศของเราไม่มี GOST สำหรับแนวคิดดังกล่าวและคุณก็มักจะซื้อน้ำตาลสีธรรมดาที่คุณใส่ในชา
อย่าลืมต้มน้ำจากก๊อกน้ำหรือจากตัวกรองในครัวเรือนแล้วทำให้เย็นลงที่อุณหภูมิไม่เกิน 30-40 องศา ยีสต์จะตาย ฉันขี้เกียจเกินไปที่จะต้มให้เย็น ดังนั้นฉันจึงใช้น้ำนิ่งที่ซื้อจากร้านค้า

มาเริ่มทำน้ำขิงกันดีกว่า

ขั้นตอนแรกคือการล้างมะนาวและขิงให้สะอาด พักมะนาวไว้ก่อนแล้วปอกขิงขณะปอกมันฝรั่ง จากนั้นจึงล้างออกอีกครั้ง

ปอกขิงแล้วโยนเปลือกทิ้งลงถังขยะ

ส่วนต่อไปสามารถทำได้โดยใช้เครื่องเตรียมอาหารหรือเครื่องปั่นก็ได้ ฉันไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งดังนั้นฉันจึงใช้ที่ขูดแบบละเอียด อันที่เล็กที่สุดที่พังหรือมีรูกลมเล็ก ๆ - ไม่สำคัญ มีรูง่ายกว่าเพราะ เส้นใยขิงเกาะติดกับกระต่ายขูดตลอดเวลา แต่ผลก็เหมือนเดิม - ฉันทดสอบแล้ว ในระหว่างกระบวนการคุณสามารถใช้ช้อนโต๊ะแล้ววัดว่าคุณขูดไปแล้วมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นครั้งแรกที่ฉันขูดมันจะเกินความจำเป็น 2 เท่า

ทางแยกเพื่อช่วยเหลือ

เมื่อเหลือชิ้นเล็กๆ และขิงบางชิ้นก็ค่อนข้างเล็ก เพื่อป้องกันนิ้วของคุณ ให้ใช้ส้อม ดังภาพด้านบน

นี่คือมวลขิงที่คุณได้รับ

ตอนนี้ถึงตาของมะนาวแล้ว สำหรับ 2 ลิตร ฉันใช้ครึ่งหนึ่งตามที่ระบุไว้ในสูตร หรือใช้มะนาวทั้งลูก บางทีมะนาวก็ลูกเล็ก บางทีก็โยนทิ้งไปก็น่าเสียดาย โดยทั่วไปแล้วจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แต่ควรทำตามสูตรจะดีกว่าเสมอ เราต้องการแค่น้ำมะนาวเท่านั้น เพื่อจุดประสงค์นี้ ฉันมีเครื่องบดเนื้อมหัศจรรย์ ซึ่งเพียงแค่สะบัดมือก็จะกลายเป็นเครื่องคั้นน้ำส้มที่หรูหรา หากไม่มีสิ่งใดเลย ให้สอดมีดด้วยใบมีดแคบตั้งฉากกับส่วนที่หั่นของมะนาว เพื่อให้มันติดอยู่ตรงกลางโดยประมาณแล้วกดด้วยตนเอง ด้วยวิธีนี้น้ำปริมาณหลักจะไหลลงมาตามมีด และ จะง่ายกว่าสำหรับคุณในการกดเมื่อเยื่อกระดาษวางอยู่บนพื้นผิวมีดที่แข็ง จำไว้ว่าคุณกำลังทำงานกับของมีคม ดังนั้นควรระมัดระวังและควบคุมการเคลื่อนไหวของคุณ

ฉันทิ้งเนื้อไว้ในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แล้วฉันก็โยนมันลงในน้ำผลไม้ด้วยคุณไม่จำเป็นต้องโยนมันลงไป

บีบมะนาวลงในภาชนะเปล่าแล้วเติมขิงขูดก่อนหน้านี้ลงในน้ำที่ได้ จากนั้นเราก็เก็บภาชนะนี้ไว้ - ปล่อยให้พวกเขาได้ผูกมิตรกันสักหน่อย มาดูน้ำ น้ำตาล และยีสต์กันดีกว่า

พักขิงและน้ำผลไม้ไว้ ถึงเวลาสำหรับส่วนผสมที่เหลือ

เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น ฉันเทน้ำจากกระป๋องขนาด 5 ลิตรลงในกระทะขนาดใหญ่ เราจะไม่ปรุงอะไรเลย ฉันแค่ผสมส่วนผสมทั้งหมดที่มีอยู่แล้วในภาชนะแล้วเติมน้ำ - มันง่ายกว่าสำหรับฉัน

เทน้ำตาลลงในกระป๋องเปล่า ในรูปแสดงน้ำตาลทรายขาวในขวด - ฉันลืมไปว่าคราวนี้ใส่ 5 ลิตรซื้อมา 500 กรัม น้ำตาล - 2 ถ้วยแทนสามที่กำหนดไว้ ฉันต้องเพิ่มแก้วปกติหนึ่งแก้ว

น้ำตาลทั้งหมดที่อยู่ในขวด

โรยยีสต์ลงบนน้ำตาล โปรดจำไว้ว่าเตรียมช้อนชาหนึ่งช้อนชาสำหรับ 5 ลิตรสำหรับ 2 ลิตร 1/4 ช้อนชาก็เพียงพอแล้ว ถ้ายีสต์กินน้ำตาลมากเกินไป ก็จะได้เบียร์ที่น่ารังเกียจ

เพิ่มยีสต์ลงในน้ำตาล

เท่านี้ก็พร้อมแล้ว เหมือนได้รับคำเชิญ แค่เติมน้ำ

จริงๆ แล้วเราไม่มีอะไรต้องรอ เติมน้ำลงในขวด โดยปล่อยให้ฝาว่างประมาณ 3 เซนติเมตร ขันฝาให้แน่นแล้วเขย่าให้ทั่วจนน้ำตาลละลายหมด แน่นอนคุณสามารถรอจนละลายแล้วเขย่า 2-3 ครั้งเพื่อคน แต่น้ำตาลเกือบกิโลจะใช้เวลาละลายนาน และ 250 กรัมด้วย เรายังต้องรอขั้นตอนสุดท้ายด้วย - ซีลน้ำ

วางน้ำขิงไว้ใต้ผนึกน้ำ

ให้ฉันอธิบายเผื่อไว้ว่าซีลน้ำคืออะไรและเหตุใดจึงต้องมี ในระหว่างกระบวนการหมัก เอลสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาได้ ซึ่งไม่ช้าก็เร็วอาจทำให้ขวดแตกได้หากคุณไม่ปล่อยทิ้งไว้ แต่ปัญหาก็คือเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน ผลิตภัณฑ์จากการหมักจะกลายเป็นน้ำส้มสายชูแทนแอลกอฮอล์ ดังนั้นเราจึงต้องฆ่านกสองตัวด้วยหินนัดเดียว ระบายก๊าซส่วนเกินและกันออกซิเจนออกไป ในการทำเช่นนี้จะใช้การออกแบบวาล์วที่ค่อนข้างง่ายเรียกว่าซีลน้ำ คุณสามารถซื้อได้ในร้านค้าหรือทำเองที่บ้านก็ได้

ในการทำซีลกันน้ำแบบง่ายๆ เราต้องใช้หลอดจากหลอดหยดทางการแพทย์ (มีขายในร้านขายยา ปลอดเชื้อ) ฝาปิดจากขวดของเรา และภาชนะที่เติมน้ำไว้บางส่วน - ฉันใช้ขวดอื่น เราทำรูบนฝาขวดจินเจอร์เอลที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าท่อเล็กน้อยและจัดการเพื่อสอดอันหนึ่งเข้าไปในอีกอันหนึ่ง ทำถูกต้องในครั้งแรกหากคุณไม่มีฝาปิดสำรอง เป้าหมายคือให้อากาศไหลเข้าไปในท่อเท่านั้น และไม่รั่วไหลเข้าไปในรอยแตกระหว่างท่อกับฝา เราบิดเบียร์ของเราด้วยฝาที่มีหลอดและลดปลายอีกด้านหนึ่งลงในภาชนะเสริมที่มีน้ำเพื่อไม่ให้หลอดหลุดออกจากน้ำไม่ว่าในกรณีใด

ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเวลาอีกเพียง 4 วันแห่งความทรมานรออยู่ข้างหน้า

เนื่องจากฉันมีท่อแบบบาง ในกรณีนี้ ฉันจึงสร้างท่อ 2 รูและท่อ 2 ท่อเพื่อการกำจัดก๊าซที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉันยังไม่ใช่มืออาชีพและอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แต่มันเกิดขึ้นที่สูตรและเงื่อนไขการเก็บรักษาที่เหมือนกันหมด เบียร์หนึ่งชุดหมักอย่างเข้มข้นและเดือดด้วยผนึกน้ำเหมือนหัวรถจักรไอน้ำแต่ไม่ใช่ฟอง หลุดออกจากท่อของผู้อื่น

ในรูปแบบนี้ เราวางน้ำขิงไว้ที่ไหนสักแห่งที่สมาชิกในบ้านจะไม่ล้ม เขาจะอยู่ที่นั่นอีกสองวันข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มันหมักอีกต่อไป ยีสต์จะกินน้ำตาลทั้งหมดและคุณจะได้ส่วนผสมที่มีรสขม

หลังจากผ่านไป 2 วัน ให้แกะซีลน้ำออกแล้วนำเบียร์เอลไปแช่ในตู้เย็นต่ออีกสองวัน อย่างระมัดระวัง!เมื่อเปิดอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน เตรียมปิดฝาเหมือนเวลาเขย่าโซดา

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การชงเอลขวดขนาด 2 ลิตรคุ้มค่าก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพื้นที่ในตู้เย็นสำหรับใส่กระป๋องขนาด 5 ลิตรได้ หลังจากสองวันในตู้เย็น คุณต้องเทจินเจอร์เอลที่เสร็จแล้วลงในภาชนะอื่น (แม้จะเป็นกระป๋องเดียวกัน) โดยส่งผ่านผ้ากอซ หลังจากนั้นก็สามารถเมาเบียร์ได้แล้ว แต่ฉันชอบที่จะทิ้งไว้อีกวันหรือสองวันจากนั้นมันก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงและอร่อยมากขึ้นในความคิดของฉัน

ฉันหวังว่าคุณจะชอบสูตรน้ำขิงของฉัน แม้ว่าจะมีรสชาติที่เฉพาะเจาะจงมากก็ตาม

pivopennoe.ru

สูตรเอล

มิทรี อเล็กซานโดรวิช

สำหรับสูตรคุณจะต้อง:

ดรายไลท์มอลต์ - 2.1กก

คริสตัลมอลต์ - 227g

มิวนิคมอลต์ - 57g

ช็อคโกแลตมอลต์ - 99g

น้ำตาลทรายแดง - 227ก

ผงเดกซ์ทริน - 113g

ยิปซั่ม - 1/2 ช้อนชา

เกลือ - 3/4 ช้อนชา

ฮอปส์ - 80ก

น้ำ - 22ล

น้ำตาล - 3/4 ถ้วย

ยีสต์สำหรับเบียร์ - 14g

เทมอลต์ด้วยน้ำ ตั้งไฟให้ร้อนถึง 66°C และทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงในที่อบอุ่น วางกระชอนบนกระทะ ทิ้งธัญพืชแล้วล้างออกด้วยน้ำร้อน (สูงถึง 50°C) ใช้ของเหลวทั้งหมดเพื่อการเตรียมการต่อไป ละลายมอลต์แห้ง ยิปซั่ม น้ำตาลทรายแดง เดกซ์ทริน และเกลือ ในปริมาณน้ำเท่ากับ 7.5-8 ลิตร แล้วต้ม เพิ่มฮ็อพประเภทแรกพร้อมกับมอลต์สีน้ำตาลแล้วปรุงประมาณครึ่งชั่วโมง เพิ่มฮ็อพหอมในช่วงสุดท้าย ทำให้ของเหลวเย็นลงที่อุณหภูมิ 20-25oC แล้วเติมยีสต์ลงไป เทของเหลวลงในภาชนะที่ปลอดเชื้อแล้วเติมให้เต็ม 2/3 ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปิดภาชนะแล้วปล่อยให้หมักเป็นเวลา 5-7 วัน เทเบียร์ที่เสร็จแล้วลงในภาชนะอื่นอย่างระมัดระวัง ระวังอย่ารบกวนตะกอนที่เกิดขึ้น คุณสามารถทำได้ในสองขั้นตอนโดยมีช่วงเวลาสองวันจากนั้นคุณจะได้เบียร์ที่ไม่มีตะกอน ต้มน้ำตาลแล้วเติมเบียร์ ใส่ขวดเบียร์. ปิดขวดโดยเหลือพื้นที่ว่างใต้ฝาไว้ สามารถลิ้มรสเบียร์ได้หลังจากผ่านไป 1-3 สัปดาห์

อิลยาซอฟน่า

วิธีทำจินเจอร์เอล 10 ลิตร:

* น้ำตาลอ้อย 3 และ 3/4 ปอนด์ (1 ปอนด์ = 453 กรัม)
* รากขิงสดขูด 3 และ 3/4 ออนซ์ (1 ออนซ์ = 28.3 กรัม)
* ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ออนซ์ (ตะกอนผลึกที่หลุดออกมาระหว่างการผลิตไวน์ การหมักแอลกอฮอล์ การบ่ม และการแปรรูปไวน์)
* มะนาว 4 ผล ผ่าสี่
* ยีสต์เบียร์ 1 ซอง

ปรุงส่วนผสมทั้งหมดด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 30 นาที เย็นถึง 17 องศาแล้วเติมยีสต์ ปล่อยให้หมักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วจึงกรอง ปล่อยให้สุกจนสิ้นสุดการหมัก

ในการผลิตภาพยนตร์ ใช้แทนเบียร์จริงเพื่อป้องกันไม่ให้นักแสดงเมา

เอลคืออะไร Ginger ale? นี่คือเบียร์หรือเปล่า?

นาตาเลีย

ประเภทและยี่ห้อของเอล:

ขม
ไลท์ เอล
มายด์เอล
อินเดียซีดเอล
ไวน์ข้าวบาร์เลย์ (ไวน์ข้าวบาร์เลย์)
อ้วน
พอร์เตอร์
เบียร์สีน้ำตาล
เบียร์เก่า
แลมบิก
Alt

มีร์@zh

เอลก็คือเบียร์เสมอ

เดนิส เทเรชเชนโก

อะนาล็อกของเบียร์แอลกอฮอล์

อเล็กซานเดอร์ ทูเลนคอฟ

เอล เบียร์ ในภาษาอังกฤษ พวกเขาทำมาจากสิ่งเดียวกับเบียร์!

ผู้เชี่ยวชาญ

สิ่งนี้คล้ายกับเบียร์ แต่จะแข็งแกร่งกว่า ของก็อร่อย

มาเรีย

การดื่มเหล้าแบบนั้น เอ เค

อารีน่า

นี่คือชเวปส์

อเลน่า ลายัค

เอล (อังกฤษ ale) เป็นเบียร์ที่มีรสขมและเข้มข้นซึ่งเกิดจากการหมักอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิค่อนข้างสูง
เอลเป็นที่รู้จักในอังกฤษมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นอย่างน้อย เครื่องดื่มที่คล้ายกันโดยไม่มีฮ็อพถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 7

สูตรการประดิษฐ์

ส่วนผสมสำหรับ 5 แกลลอน:
น้ำตาลอ้อย 3 และ 3/4 ปอนด์
รากขิงสดขูด 3 และ 3/4 ออนซ์
ครีมทาร์ทาร์ 1 ออนซ์
มะนาว 4 ผล
ยีสต์เบียร์ 1 ซอง

รสชาติเหมือนโซเวียต Buratino

Ginger ales นำเสนอในรัสเซียภายใต้แบรนด์ Evervess และ Schweppes

อเล็กซ์

จิงเจอร์เอลเป็นเครื่องดื่มที่มีรสหวานและอัดลมสูงพร้อมกลิ่นหอมของขิง
ใช้บริสุทธิ์หรือเป็นส่วนประกอบของค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้น (วอดก้า, จิน, วิสกี้) ในการผลิตภาพยนตร์ ใช้แทนเบียร์จริงเพื่อป้องกันไม่ให้นักแสดงเมา
สูตรการประดิษฐ์
Jamaican Ginger Ale (สูตรของ Boston Brewing Company เลิกต้มแล้ว)
ส่วนผสมสำหรับ 5 แกลลอน:
* น้ำตาลอ้อย 3 และ 3/4 ปอนด์
* รากขิงสดขูด 3 และ 3/4 ออนซ์
* ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ออนซ์
* มะนาว 4 ผล ผ่าสี่
* ยีสต์เบียร์ 1 ซอง
ปรุงส่วนผสมทั้งหมดด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 30 นาที ปล่อยให้เย็นถึง 17°C แล้วเติมยีสต์ลงไป ปล่อยให้หมักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วจึงกรอง ปล่อยให้สุกจนสิ้นสุดการหมัก
รสชาติเหมือนโซเวียต Buratino
เครื่องดื่มถูกประดิษฐ์ขึ้นในยุค 70 ของศตวรรษที่ 19
Ginger ales นำเสนอในรัสเซียภายใต้แบรนด์ Evervess และ Schweppes

ประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่ม

ตอนนี้ใครๆ ก็รู้แล้วว่าเบียร์ผลิตจากฮ็อพ ข้าวบาร์เลย์ (บางครั้งก็เป็นข้าวสาลีหรือข้าว) มอลต์และน้ำ แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เชื่อกันว่าความลับของเบียร์ถูกค้นพบโดยชาวสุเมเรียนโบราณเมื่อห้าพันปีก่อน แต่พวกเขาต้มโดยไม่ใช้ฮ็อป กระบวนการทำเครื่องดื่มใช้เวลาไม่นานเหมือนตอนนี้ มอลต์ที่ไม่มีฮ็อปจะหมักเร็วกว่า แต่เครื่องดื่มกลับมีรสหวานกว่า เพื่อเพิ่มความขมอันเป็นที่ชื่นชอบและปรับสมดุลของรสชาติ จึงเริ่มเติมฮ็อปลงในเบียร์ แต่พืชชนิดนี้ไม่เป็นที่รู้จักจนกระทั่งศตวรรษที่ 15 เมื่อเริ่มนำเข้าจากฮอลแลนด์ ในความสัมพันธ์กับเครื่องดื่มใหม่ที่ชงด้วยการเติมฮอปคำว่า "เบียร์" ถูกนำมาใช้และสำหรับเครื่องดื่มแบบดั้งเดิม - "เบียร์" (เบียร์) นอกจากเทคโนโลยีแล้วยังแตกต่างจากเครื่องดื่มข้าวบาร์เลย์ที่คุ้นเคยในเรื่องรสชาติ เบียร์เอลอังกฤษ สก็อตแลนด์ และไอริชเป็นที่รู้จัก แต่ตอนนี้ก็มีการผลิตในเบลเยียมและเยอรมนีด้วย

เทคโนโลยี

เราจะไม่ลงรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่นี่ ให้เราติดตามเฉพาะแผนการผลิตทั่วไปเท่านั้น ต่างจากลาเกอร์ที่มีรสขมแต่ยังไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ ความหวานของมอลต์ (ธัญพืชที่แตกหน่อและหมัก) ในเครื่องดื่มโบราณไม่ได้สมดุลโดยฮ็อป แต่ด้วยส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพรที่เรียกว่า gruit มันถูกต้มในสาโท ในระหว่างการปรุงอาหาร ยีสต์จะไม่จมลงด้านล่าง แต่จะลอยอยู่บนพื้นผิว เบียร์ไอริชถูกปล่อยให้หมักที่อุณหภูมิห้อง 15-24 องศาเซลเซียส เบียร์ลาเกอร์จะถูกเก็บในที่เย็น (5-10 องศาเซลเซียส) และยีสต์ในเบียร์จะจมลงไปที่ก้นถัง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเอลจึงถูกเรียกว่าเบียร์หมักชั้นยอด แต่ถึงแม้จะเทลงในถังเครื่องดื่มนี้ก็ไม่เคยหยุดทำให้สุก เติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อดำเนินกระบวนการหมักต่อ ทั้งรสชาติและความแรงของมันเปลี่ยนไปตามระยะเวลาที่ดื่ม จากนั้นจึงบรรจุขวดเพื่อหยุดกระบวนการสะสมแอลกอฮอล์

ลักษณะเครื่องดื่ม

ที่อุณหภูมิสูง กระบวนการหมักจะเร็วกว่าเบียร์ลาเกอร์ชนิดเดียวกัน และมีความรุนแรงมากกว่ามาก หากไม่มีความขมของฮอปด้วยการเติมสมุนไพรเครื่องดื่มจะมีรสหวานมากขึ้นพร้อมรสชาติผลไม้ที่เข้มข้น อาจเป็นกลิ่นหอมของลูกพรุน กล้วย สับปะรด ลูกแพร์ หรือแอปเปิ้ล ผลจากการที่เครื่องดื่มถูกปล่อยให้สุกในถัง ทำให้กลายเป็น "เหล้ามากกว่าไวน์" ใบ้ไอริชแข็งแกร่งแค่ไหน? เช่นเดียวกับไวน์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการบ่ม คนขนของ ตั้งชื่อนี้เพราะว่าคนขนยาวชอบความแข็งแกร่งของมัน โดยประกอบด้วยแอลกอฮอล์ 10% และในไวน์ข้าวบาร์เลย์ - ทั้งหมด 12 ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องดื่มที่อ่อนแอกว่า: ซอฟท์เอลหรือไลท์เอล (2.5-3.5%) แต่สิ่งที่เป็นปกติของเบียร์ประเภทนี้คือมีรสหวานมากกว่าและไม่มีรสขม และความคงตัวของมันก็เข้มข้นและเข้มข้นกว่าเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาแบบดั้งเดิม

เบียร์เอลไอริชหลากหลายชนิด

เครื่องดื่มดังกล่าวได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนมากจนคงจะแปลกหากสูตรของมันยังคงเป็นสูตรเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง ในไม่ช้าเบียร์แบบดั้งเดิมของจริงซึ่งถูกเทโดยไม่มีแรงกดดันจากด้านบนซึ่งแตกต่างจากเบียร์ทั่วไปตามมาด้วยพันธุ์อื่น ๆ ในหมู่พวกเขาควรสังเกตเบียร์เอลไอริชสีเข้ม นี่คือกินเนสส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก สเตาต์นี้ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นผู้ประกอบการในดับลิน โดยได้สีกาแฟจากการเติมเมล็ดข้าวบาร์เลย์คั่วและมอลต์คาราเมล เรียกอีกอย่างว่าลูกหาบที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษแม้ว่าจะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 7% ก็ตาม Kilkenny ซึ่งเป็นเบียร์เอลแดงของชาวไอริชก็เป็นที่นิยมเช่นกัน มีรสชาติเข้มข้นและมีสีทับทิมเข้มข้น ได้ชื่อมาจากเมืองเล็กๆ ในไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์เซนต์ฟรานซิส พระในท้องถิ่นผลิตเบียร์นี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ความแรงของเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณ 4% และได้สีที่น่าสนใจโดยการเติมมอลต์คาราเมลแปรรูปพิเศษจำนวนเล็กน้อย

เบียร์ไอริชในทวีปยุโรป

เอลในรัสเซีย

เอลเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำยอดนิยมซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตคล้ายคลึงกับเบียร์ แต่ต่างจากประเภทหลังตรงที่เตรียมโดยใช้การหมักชั้นยอดและมีรสชาติหวานที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้น คำกล่าวของสตีเวนสันที่ว่าเอลถูกต้มจากต้นเฮเทอร์บนภูเขาโดยคนแคระในถ้ำลึกจึงไม่เป็นความจริงทั้งหมด

ความแตกต่างระหว่างเบียร์กับเบียร์ไม่เพียงแต่โดยการหมักชั้นยอดเท่านั้น แต่ยังเกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย ถ้าสำหรับเบียร์นี่คือคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นสำหรับเบียร์ก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ควบคู่กับไนโตรเจน และเนื่องจากเอลไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์หรือสเตอริไลซ์

เอลแตกต่างจากเบียร์ลาเกอร์อุณหภูมิในการหมักที่สูงขึ้น (15-24°C) ความเร็วในการปรุงอาหารและความหวาน รวมถึงการขาดการพาสเจอร์ไรซ์

เอลทำอย่างไร?

เทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่มนี้เปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มแรก ในศตวรรษที่ 7 ชาวอังกฤษผลิตเครื่องดื่มชนิดนี้โดยไม่ใช้ฮ็อป โดยเรียกเครื่องดื่มหมักทั้งหมดว่า "เอล" ในศตวรรษที่ 16 ฮ็อปที่นำมาจากเนเธอร์แลนด์ปรากฏในเบียร์เอล

ขณะนี้มีการผลิตเบียร์ทั้งตัวแล้ว ละเว้นรายละเอียดการเตรียมการทั้งหมดและพูดสั้น ๆ เครื่องดื่มเตรียมประมาณหนึ่งเดือน (ไม่ค่อย - 4 เดือน) การหมักด้านบนในระยะยาว (ยีสต์อยู่บนพื้นผิว ไม่ใช่ด้านล่าง) การไม่มีการพาสเจอร์ไรซ์และการฆ่าเชื้อจะทำให้เบียร์มีรสชาติดั้งเดิม

อย่างไรก็ตามความหวานของมอลต์ในระหว่างกระบวนการผลิตไม่ได้ถูกกำหนดโดยการมีฮ็อพ แต่โดยเครื่องเทศและสมุนไพร (ผลไม้) ซึ่งต้มในสาโท

เมื่อเครื่องดื่มพร้อมแล้ว ก็จะถูกส่งใส่ถังและขวด โดยเติมน้ำตาลเล็กน้อยในแต่ละขวดแล้วปิดผนึก น้ำตาลกลับสู่กระบวนการหมักต่อ และเบียร์เอลจะสุกต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อลักษณะของเบียร์

ลักษณะเครื่องดื่ม

รสชาติจะนุ่ม ไม่ขม และหวาน มีกลิ่นผลไม้เล็กน้อย ความขมเล็กน้อยของการจิบแรกทำให้ได้ความหวานของครีมของท๊อฟฟี่

สี - จากสีเหลืองอำพันอ่อนไปจนถึงทองแดงเข้ม

เนื้อมีความหนา โฟมมีไม่มาก

ความแข็งแกร่ง - ขึ้นอยู่กับอายุ แต่โดยเฉลี่ย - 2.5-10%

ปริมาณแคลอรี่ — 50 กิโลแคลอรีต่อ 100 มล.

ดื่มได้ง่ายและมีความสุข

ประวัติความเป็นมาของเบียร์

หากเบียร์มีอยู่ในหมู่ชาวสุเมเรียนเมื่อ 3 พันปีก่อนคริสต์ศักราช เบียร์ก็เริ่มผลิตในอังกฤษในศตวรรษที่ 7 และคำว่า "เบียร์" เริ่มใช้เฉพาะในศตวรรษที่ 15-16 เมื่อฮอปปรากฏในองค์ประกอบของ เบียร์. แต่มันไม่ได้หยั่งรากจริงๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ใช่ฮ็อพที่มักเติมลงในเบียร์ แต่เป็น gruit - คอลเลกชันพิเศษของบอระเพ็ด, ยาร์โรว์, ยี่หร่า, จูนิเปอร์เบอร์รี่, เฮเทอร์, ไมร์เทิล, เรซินสปรูซ, โรสแมรี่ป่า ขิง ลูกจันทน์เทศ อบเชย โป๊ยกั๊ก และน้ำผึ้ง พ่อค้าสามารถขายส่วนผสมนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับพรจากคริสตจักรเท่านั้น

ในยุคกลาง เอลในหมู่ชาวอังกฤษได้รับความนิยมเช่นเดียวกับขนมปัง และกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ในสมัยนั้นมักเรียกว่า "ขนมปังเหลว"

เบียร์หลากหลายชนิดเริ่มปรากฏให้เห็นไม่เพียงแต่เพื่อกระจายรสชาติเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชีวิตบางอย่างด้วย ดังนั้นเบียร์ที่ส่งจากอังกฤษไปยังอินเดียจึงเน่าเสียซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของแอลกอฮอล์ในนั้น ตัวแปรนี้เรียกว่า "India Pale Ale"

ขณะนี้ความนิยมของเครื่องดื่มแบบอังกฤษโบราณยังไม่ลดลง สิ่งนี้เห็นได้จากความต้องการในหลายประเทศทั่วโลกและมีวันหยุดประจำสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ ตัวอย่างเช่น ในอังกฤษจะมีการจัด "เทศกาลเบียร์" ประจำปีในฤดูหนาว

ปัจจุบันเบียร์เอลมีการผลิตในบริเตนใหญ่ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ เยอรมนี และเบลเยียม และในแต่ละประเทศก็มีลักษณะและความหลากหลายเป็นของตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว มีการรู้จักเบียร์เอลมากกว่า 17 สายพันธุ์ ซึ่งจะมีการหารือกันในตอนนี้

เบียร์หลากหลายชนิด

"ขม"(ขม/ขม). มันไม่ขม แต่มีรสหวานและมีกลิ่นผลไม้ พวกเขาใช้ฮ็อพเร็วกว่าชนิดอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกมันว่า "ขม" เฉดสีมีตั้งแต่สีบรอนซ์ไปจนถึงสีทองแดงเข้ม ที่นิยมมากที่สุด ในอังกฤษในศตวรรษที่ 15 มีปรากฏอยู่ทุกโต๊ะในช่วงอาหารกลางวัน

“เพลเอล”(ซีด). บางเบาด้วยรสเผ็ดจัดจ้าน

มายด์เอล(อ่อนนุ่ม). เบา สว่าง รสมอลต์ ความแรงต่ำ (3–3.6%) ความหลากหลายนั้นถือว่ายังเยาว์และไม่ปรุงรส นี่คือเบียร์เอลจากคนงานเหมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในเวลส์

"เบียร์สีน้ำตาล"(สีน้ำตาล). สีเข้ม แอลกอฮอล์ต่ำ (3–4%) กลิ่นหอมคล้ายถั่ว มีความขมปานกลาง และมีรสหวาน บางครั้งก็มีรสช็อกโกแลตเล็กน้อย เวอร์ชันอเมริกันมีรสชาติแห้งและขมมากกว่า

"อ้วน"(อ้วน). เบียร์ไอริชนำโดย Catherine II ไปยังรัสเซีย ในบรรดาประเภทของเครื่องดื่มเราสามารถสังเกต Guinness สีเข้มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (แอลกอฮอล์ 7%) และสีแดง Kilkenny (แอลกอฮอล์ 4%)

"เบียร์เก่า"(ปรุงรส). เข้ม แรง – สูง (6-10%) รสชาติ – เปรี้ยว หนา มีกลิ่นผลไม้ สมุนไพร และเครื่องเทศ อายุ – ตั้งแต่ 1 ปี จัดทำขึ้นในประเทศอังกฤษ

"อัลท์"(อัลโต) จัดทำขึ้นที่ดุสเซลดอร์ฟ (เยอรมนี)

“เบอร์ตันเอล”(บาร์ตัน). พันธุ์ที่ดีที่สุดคือ "Fullers Golden Pride" และ "Bass No. 1" สีของเบียร์มีสีเข้มมีรสชาติหวานโดยมีกลิ่นของแอปเปิ้ลลูกแพร์และน้ำผึ้งมีความแข็งแรงสูง (นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เจือจางเกือบตลอดเวลา) การมีอายุตั้งแต่ 1 ปี

“สก๊อตเอล”(ลังนก). สก็อตติชเอลมีสีเข้มและมีรสคาราเมล ปรุงทางภาคเหนือแตกต่างจากทางใต้ตรงที่มีกลิ่นถั่วและมีกลิ่นควัน

“เบลเยี่ยมเอลส์”(เบลเยียม). เบามีความแข็งแรงสูงมาก จัดทำขึ้นในเบลเยียมโดยใช้เทคโนโลยีของเราเอง (ใช้น้ำตาล)

“เบียร์แทรปปิสต์”มันถูกเตรียมย้อนกลับไปในยุคกลางโดยพระสงฆ์ชาวเบลเยียมแห่งคณะ Trappist การทดลองกับสารเติมแต่งทำให้เกิดการปรากฏตัวของพันธุ์เช่น "Rhine Kölsch", "Double", "Crick", "Triple", "Trappist Fathers" ซึ่งคุณจะสัมผัสได้ถึงราสเบอร์รี่, เชอร์รี่, กล้วยและกลิ่นอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีเบียร์หลากหลายประเภทเช่น "Porter" (พนักงานยกกระเป๋า), "India Pale Ale" (แสงอินเดีย), "Dark ale" (มืด), "Light Ale" (เบา), "Strong ale" ” (แข็งแกร่ง), "ไวน์ข้าวบาร์เลย์" (ไวน์ข้าวบาร์เลย์)

จะดื่มแอลกอฮอล์ที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร?
ทุกอย่างง่ายมาก - เช่นเดียวกับเบียร์ทั่วไป นักชิมบางคนจุ่มผลไม้รสเปรี้ยวลงในแก้วเบียร์ แต่วิธีนี้ทำได้น้อยมาก เนื่องจากเบียร์ในกรณีนี้จะได้ความเปรี้ยวในปริมาณที่พอเหมาะ

พวกเขาดื่มกับอะไร?

พันธุ์แสงและสีทองด้วยความสดใหม่ช่วยเติมเต็มอาหารร้อน เค็ม และเผ็ด อาหารอินเดีย ไทย หรือเม็กซิกันได้อย่างลงตัว เข้ากันได้อย่างลงตัวกับซูชิและครีมชีส

พันธุ์อำพัน- เกือบจะเป็นสากล สามารถใช้ล้างจานได้เกือบทุกจาน ตั้งแต่ซุปเข้มข้นไปจนถึงแซนด์วิช พิซซ่า และบาร์บีคิว บลูชีสถือเป็นของว่างที่ยอดเยี่ยม อย่าดื่มเฉพาะกับอาหารจานหวานเท่านั้นซึ่งจะขัดจังหวะรสชาติของเครื่องดื่ม

พันธุ์เข้ม– เหมาะสำหรับไก่ เนื้อเกม ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ เชดดาร์ชีสบ่ม และซอสเห็ด การผสมผสานที่น่าสนใจของเครื่องดื่มกับของหวานช็อคโกแลต (เช่น Irish Sacher Torte) หรือมูส

โดยทั่วไปแล้ว เอลเข้ากันได้อย่างลงตัวกับชีส อาหารทะเล และเนื้อสัตว์ แต่เครื่องดื่มจะไม่สูญเสียอะไรเลยถ้าคุณทานกับแครกเกอร์หรือถั่ว

บทความในหัวข้อ

สโตรกานอฟเนื้อ - สูตรคลาสสิกพร้อมครีมครีมและเห็ด สูตรสโตรกานอฟเนื้อกับเห็ด

บรอกโคลีทอด บร็อคโคลี่ไก่

สิ่งที่ใช้ได้ผลในชนบทมีประโยชน์ในครัว (ฟักทองยัดไส้อบในหม้อหุงช้า!

คุกกี้เนื้อนุ่มรสน้ำผึ้งไร้น้ำตาลแบบเร่งด่วน

สูตรมันฝรั่งหลวงที่ทำจากคอทเทจชีส

ครีมครีมเปรี้ยวและน้ำตาล

สลัดทิฟฟานี่กับไก่และองุ่น: สูตรอาหาร คุณสามารถดูการเตรียมการทั้งหมดได้ที่นี่

ไส้กรอกในขนมปังพิต้ากับชีสในเตาอบ อาหารเช้าแสนอร่อย

เป็นที่นิยม

สูตรโฮมเมดสำหรับเนื้อทอดเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องทอด อย่างที่รู้กันว่าเนื้อทอดเป็นอาหารที่มีแคลอรีสูงเพราะคุณต้องใช้น้ำมันมากในการเตรียม ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้คน...

สโตรกานอฟเนื้อ - สูตรคลาสสิกพร้อมครีมครีมและเห็ด สูตรสโตรกานอฟเนื้อกับเห็ด เนื้อสโตรกานอฟเป็นไปตามที่ควรจะเป็นในสูตรดั้งเดิม - เนื้อลูกวัวในซอสครีมเปรี้ยว ต่อมาภายหลังจากอาหารจานโปรด พวกเขาก็เกิดเมนูขึ้นมามากมาย...

บรอกโคลีทอด บร็อคโคลี่ไก่ หากคุณตัดสินใจที่จะเป็นมังสวิรัติหรืออดอาหารโดยไม่มีเนื้อสัตว์ฉันแนะนำให้คุณเตรียมบร็อคโคลี่ผักชิ้นอร่อย จานนี้...