เบียร์ดื่มเบียร์ สก๊อตเบียร์ดำ. ไอริชเอลกับเบียร์: ต่างกันอย่างไร?
อะไรจะดีไปกว่าการจิบเบียร์สดเย็นๆ สักแก้วท่ามกลางฤดูร้อนที่ร้อนระอุ ถูกแล้ว - สองแก้ว! และคุณไม่สามารถโต้เถียงกับสิ่งนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีนักดื่มเครื่องดื่มที่มีฟองอยู่ตรงหน้าคุณ เบียร์เป็นที่ชื่นชอบในทุกมุมโลก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ในบรรดาพันธุ์ที่หลากหลาย ทุกคนสามารถแยกแยะได้ด้วยตัวเอง อร่อยที่สุด สดชื่นและเติมพลัง คนของเราคุ้นเคยกับข้าวสาลีหรือเบียร์ลาเกอร์แบบดั้งเดิมเป็นอย่างดี แต่เบียร์เอลก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันในหมู่ชาวอังกฤษหรือชาวไอริช มันคืออะไร?
เกร็ดประวัติศาสตร์
ที่น่าสนใจคือการกล่าวถึงเครื่องดื่มที่คล้ายกับเบียร์เอลสมัยใหม่เป็นครั้งแรกในหมู่ชาวสุเมเรียน แต่ตามเนื้อผ้าถือว่าเครื่องดื่มนี้มีต้นกำเนิดและได้รับความนิยมในอังกฤษเมื่อต้นศตวรรษที่ 7 สูตรเบียร์ในสมัยนั้นไม่เหมือนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่มอลต์และฮ็อพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมุนไพร ราก เครื่องเทศ ผลไม้ และแม้แต่ถั่วอีกด้วย มันมีรสชาติและกลิ่นหอมที่เข้มข้นและเด่นชัด มันกลับกลายเป็นว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ และมันถูกจัดเตรียมอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ไม่น่าแปลกใจที่ในไม่ช้าเบียร์ธรรมดาก็กลายเป็น "ขนมปังชิ้นที่สอง" ของอังกฤษอย่างแท้จริง เครื่องดื่มฟองมีชื่อ "อัล" จากภาษาอังกฤษโบราณ "เอลู" ยืมมาจาก "alut" ของชาวอินโด - ยูโรเปียนโบราณซึ่งหมายถึง "เวทมนตร์" หรือ "คาถา" ในไม่ช้ามนต์สะกดอันน่าอัศจรรย์ของเบียร์เฮดดี้เอลก็แพร่กระจายไปยังทวีปอื่นๆ ในบางประเทศ เขาตกหลุมรักมากจนเบียร์เอลเริ่มถูกมองว่าเป็นจุดเด่นของผับที่เคารพตนเองทุกแห่ง
เอลคืออะไร
เครื่องดื่มที่มีชื่อ "แม่มด" เป็นหนึ่งในสิ่งเดียวที่ทำให้แตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ - วิธีการหมัก เบียร์ธรรมดาถูกต้มโดยใช้วิธีมอลต์เวิร์ต แต่เบียร์แบบอังกฤษดั้งเดิมคือเบียร์ที่ได้จากการหมักระดับบนเท่านั้น และด้วยเหตุนี้จึงใช้ sourdough ชนิดพิเศษ ยีสต์ในระหว่างการเตรียมเบียร์จะไม่เกาะอยู่ที่ก้นถัง แต่จะอยู่ด้านบนทำให้เกิด "ฝา" การหมักเกิดขึ้นที่อุณหภูมิ 15 ถึง 24 องศาเซลเซียส ในสภาวะเช่นนี้เครื่องดื่มจะมีกลิ่นหอมมากที่สุดและได้รับรสชาติที่เด่นชัด หลังจากนั้นเอลจะถูกส่งไปทำให้สุกในห้องเย็นที่อุณหภูมิ 11-14 องศา เมื่อเครื่องดื่มพร้อมอย่างสมบูรณ์ถังจะถูกเปิดออกและเพลิดเพลินกับเบียร์สดซึ่งควรระบายออกใน 2-3 วันมิฉะนั้นเครื่องดื่มอาจมีรสเปรี้ยว เบียร์ไม่ถูกกรองและเมาเฉพาะ "สด" ดังนั้นเมื่อคุณพบขวดเบียร์ลดราคาให้ใส่ใจ
ประเภทเบียร์
อย่างไรก็ตาม เบียร์เอลยังมีหลากหลายพันธุ์ แตกต่างกันในด้านรสชาติ กลิ่น และอาจมีสีอ่อนหรือเข้มก็ได้ นี่เป็นเพียงบางส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด:
- สเตาต์ - สเตาท์เป็นพันธุ์สีเข้มที่แข็งแกร่ง
- เบียร์ที่แข็งแกร่ง - เบียร์ที่แข็งแกร่ง - เบียร์ที่แข็งแกร่ง;
- ขม - ขม - เบียร์ที่มีรสขม
- Pale Ale - Pale Ale - เบาและขม
- Mild Ale - Soft ale - มีรสชาติอ่อน ๆ ชวนให้นึกถึง kvass;
- เบียร์สีน้ำตาล - น้ำตาล - รสอ่อน, สีน้ำตาล;
- ไลท์เอล - ไลท์ - ไลท์เอลไลท์;
- Porter - Porter - เป็นที่นิยมในอังกฤษ
- India Pale Ale - เบียร์เอลสีซีดที่แข็งแกร่งของอินเดีย
- เบียร์เก่า - แก่ - เข้มข้นและอร่อย
- ไวน์ข้าวบาร์เลย์ - ข้าวบาร์เลย์ - มีรสไวน์ที่หวานและเข้มข้น
มีพันธุ์ที่มีสีผลไม้สดใสข้าวบาร์เลย์หรือแม้แต่บ๊อง ตัวอย่างเช่น สเตาท์ (เบียร์ดำ) เป็นเบียร์ที่ทำจากข้าวบาร์เลย์คั่วหรือมอลต์คั่ว มีความเข้มข้นและมีแอลกอฮอล์ประมาณ 7-8%
ประโยชน์
ควรสังเกตว่าเบียร์ไม่เพียง แต่อร่อย แต่ยังดีต่อสุขภาพด้วย และสำหรับผู้ที่ทำตามรูปแบบของพวกเขา คุณจำเป็นต้องรู้ว่าด้วยความช่วยเหลือของเบียร์ คุณสามารถเพิ่มน้ำหนักได้อย่างง่ายดาย เบียร์ดังกล่าวไม่ผ่านการแปรรูปใดๆ เนื่องจากยีสต์ น้ำตาล เชื้อรา และเอ็นไซม์ที่ปรากฏระหว่างกระบวนการหมักจะยังคงเต็มอยู่ El อุดมไปด้วยวิตามิน B และ E แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม และแมงกานีส กรดอะมิโนที่มีอยู่ในนั้นช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญมีผลดีต่อสภาพของเส้นผมและผิวหนัง เอลมีประโยชน์ในการดื่มเพื่อปรับปรุงการย่อยอาหาร มันปรับโทนสี บรรเทา ขยายหลอดเลือด มันมีประโยชน์สำหรับหลอดเลือดและสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่เราไม่ควรลืมว่าระดับเบียร์เอลอาจมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ที่เข้มข้นสามารถบรรจุได้ถึง 12% ดังนั้นทุกอย่างดีในปริมาณที่พอเหมาะ
เถียงกันเรื่องรสนิยม
ไม่ใช่ชาวอังกฤษหรือชาวไอริชทุกคนที่สามารถต้านทานเครื่องดื่มอะโรมาติกที่เชิญชวนได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเบียร์ไม่ได้หยั่งรากในรัสเซีย ทุกคนที่ได้ลองดื่มเบียร์ที่ไม่ธรรมดานี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ บางคนชอบ แต่บางคนก็บอกว่ารสชาติที่ "ไม่ค่อยดี" ก็คือ "ไม่ค่อยดี" แน่นอนว่าความเกลียดชังดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับความจริงที่ว่าเราคุ้นเคยกับการวางทุกอย่างไว้บนชั้นวางเท่านั้น ถ้าเป็นเบียร์ ก็ควรมีรสชาติเฉพาะของเบียร์ ถ้าเป็น kvass ก็ kvass และถ้าเป็นไวน์ ก็ควรมีรสชาติพิเศษเป็นของตัวเอง เอลเป็นเครื่องดื่มที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเรา และบ่อยครั้งที่รสชาติของมันอาจมีหลากหลายเฉดสี ซึ่งเราไม่คุ้นเคย เบียร์ดังกล่าวมีรสชาติหวานอมขมกลืน อัดลมปานกลาง และสามารถมีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ผลไม้สมุนไพรไปจนถึงกลิ่นของ "ควัน" แต่ผู้ที่ชื่นชอบเครื่องดื่มจะยังคงเป็นแฟนพันธุ์แท้ตลอดไป
เอล "ปุยปุย"
ยังไงก็ยังมีแฟนอยู่ ในผับ เบียร์ประเภทต่าง ๆ เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่าไม่ได้ถูกมองข้ามไป บางคนชอบเบียร์เอลมากและมีคนลองทำเป็นครั้งแรก - เพื่อความอยากรู้ เนื่องจากอายุการเก็บรักษาที่จำกัด เราจึงไม่สามารถลองเบียร์เอลจากอังกฤษแท้ๆ ได้ ดังนั้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เรามีเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย เบียร์เอล "Shaggy Shmel" ถือกำเนิดขึ้นใน Mytishchi ต้องขอบคุณ Mikhail Ershov ร่วมสมัยที่เชี่ยวชาญด้านเบียร์ของเรา ด้วยความพยายามของเขา วันนี้เราทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับรสชาติของเบียร์ทับทิมแท้ ๆ ได้
บางทีมันอาจจะคุ้มค่าที่จะเริ่มต้นด้วยความจริงที่ว่าคำถามที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่ถูกต้องทั้งหมด ความจริงก็คือเบียร์หมายถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำทั้งหมดที่ได้จากการหมักมอลต์สาโทที่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้นเบียร์ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ทั้งหมดจึงเป็นเบียร์ชนิดหนึ่งเท่านั้น นั่นคือคำถามอย่างเป็นทางการ: "เบียร์แตกต่างจากเบียร์อย่างไร" เป็นเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับการพูดคำถาม: "อะไรคือความแตกต่างระหว่าง grappa และบรั่นดี"
อย่างไรก็ตาม ในวัฒนธรรมเบียร์ที่มีอยู่ในพื้นที่หลังโซเวียต ที่จริงแล้วเบียร์ถูกระบุด้วยเบียร์หลากหลายชนิด - ลาเกอร์ ดังนั้น จากการถามคำถามข้างต้น ผู้ที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์มอลต์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำที่พูดภาษารัสเซียต้องการทำความเข้าใจกับตนเองว่าเบียร์แตกต่างจากเบียร์ลาเกอร์อย่างไร และนี่คือคำถามที่ต้องการคำตอบจริงๆ
เบียร์เอลสมัยใหม่
ก่อนที่จะพูดถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นของเบียร์ คงไม่ฟุ่มเฟือยที่จะตัดสินว่าเครื่องดื่มประเภทใดเป็นของเบียร์ประเภทนี้
จนถึงปัจจุบัน เกือบที่เดียวที่ประเพณีการผลิตจำนวนมากและการบริโภคเบียร์ได้รับการอนุรักษ์ไว้คือเกาะอังกฤษ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เครื่องดื่มสมัยใหม่ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากอังกฤษ
- เบียร์ขม
ปรากฏในอังกฤษราวศตวรรษที่สิบห้า ได้ชื่อมาจากการเพิ่มฮ็อปที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้ลงในเครื่องดื่ม
- Pale ale
เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่ขมขื่นโดยเฉลี่ยแล้ว มันเป็นเครื่องดื่มที่เข้มข้นกว่าและเข้มข้นกว่าด้วยกลิ่นบ๊องและผลไม้
- เบียร์อินเดีย (มาตรฐานและดับเบิ้ล)
ใกล้เคียงซีด แต่แข็งแรงกว่าและมีฮ็อพมากกว่า ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เครื่องดื่มจึงสามารถทนต่อการขนส่งไปยังมุมที่ห่างไกลที่สุดของจักรวรรดิอังกฤษได้อย่างง่ายดาย
- ซอฟท์เอล
โดดเด่นด้วยรสชาติของมอลต์ที่เด่นชัด มีความหนาแน่นต่ำและมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยที่สุด เครื่องดื่มนี้มีทั้งสีอ่อนและสีเข้ม
- เบียร์สีน้ำตาล
นอกจากสีน้ำตาลทุกเฉดแล้ว ยังมีกลิ่นมอลต์เข้มข้นและมีกลิ่นบ๊องเฉพาะตัวอีกด้วย
- เบียร์ที่แข็งแกร่ง
มีประสิทธิภาพเหนือกว่าพันธุ์ที่มีสีซีดกว่าในแง่ของร่างกาย ปริมาณแอลกอฮอล์ และความหยาบ รสชาติของมันอาจมีกลิ่นผลไม้หรือสีเปรี้ยว เบียร์เอลที่มีอายุมาก เบียร์ดำ และเบียร์ดำถือเป็นเบียร์เอลชนิดพิเศษ
- ไวน์ข้าวบาร์เลย์
เครื่องดื่มมักมีแอลกอฮอล์มากกว่า 10 องศา มันมีรสชาติมอลต์ที่เข้มข้นมาก แต่โน้ตของฮ็อปปี้และฟรุ๊ตตี้ก็ไม่ได้ต่างจากมัน
- เอลแดง
เบียร์ที่มีสีแดงหรือสีเหลืองอำพันที่เข้มข้นและรสมอลต์ที่เด่นชัด เครื่องดื่มนี้เป็นที่นิยมโดยเฉพาะกับ British Celts ดังนั้นจึงแบ่งออกเป็นพันธุ์ไอริชและสก็อต ไอริชเรดเอลมีลักษณะเด่นด้วยรสเนยครีมและกลิ่นคาราเมล เนื่องจากการเติมข้าวโพด ข้าวหรือน้ำตาล
- เบียร์สก๊อตแลนด์
เบียร์มอลต์ที่ใช้กลั่นวิสกี้ท้องถิ่น เครื่องดื่มนี้มีรสชาติมอลต์ที่เข้มข้นและสามารถคาดเดาได้และมีกลิ่นควันที่ไม่ปกติสำหรับคู่ภาษาอังกฤษ
- พอร์เตอร์
เครื่องดื่มสีเข้มมากที่ทำจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์ที่แห้งมาก และมอลต์ที่เรียกว่าคั่ว ตามลักษณะของมันยังอยู่ในหมวดหมู่ของเบียร์ มีรสถั่วที่เด่นชัดและมีฟองสูง นอกจากพนักงานยกกระเป๋าภาษาอังกฤษแบบคลาสสิกแล้ว วันนี้ยังมีพนักงานยกกระเป๋าที่แข็งแกร่ง (รวย) ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ผลิตชาวอเมริกัน เช่นเดียวกับพนักงานยกกระเป๋าจากทะเลบอลติกที่ปรุงแต่งด้วยถั่ว คาราเมล หรือชะเอม ซึ่งผลิตในประเทศในภูมิภาคที่มีชื่อเดียวกัน
- อ้วน
อนุพันธ์สีน้ำตาลของไอริช โดดเด่นด้วยกลิ่นกาแฟที่โดดเด่นและรสชาติที่ไหม้เกรียมในช่อดอกไม้ รวมถึงความโปร่งแสงที่สมบูรณ์แบบ ทุกวันนี้ ควบคู่ไปกับคลาสสิกที่มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง มีหอยนางรมรสเปรี้ยวที่ได้รับความนิยมมากกว่า สเตาท์ไอริชแบบแห้ง น้ำตาลแลกโตสที่ผสมความหวานแบบอังกฤษ และสเตาท์แบบอิมพีเรียลและแบบเมืองร้อนที่ขนส่งได้
นอกจากนี้ แนวคิดของเบียร์ยังรวมถึงเครื่องดื่มต่างๆ เช่น เบียร์ Trappist ที่ผลิตในเบลเยียม ฮอลแลนด์ และฝรั่งเศส (รวมถึง Quadrupel ที่มีชื่อเสียง) สีแดงหรือเบอร์กันดี (ตามสีไวน์ของเครื่องดื่ม) Flanders ale ที่มีต้นกำเนิดจากเบลเยียม เบียร์ Bavarian Wheat เช่นเดียวกับเบียร์เก่าที่มาจากเยอรมันดุสเซลดอร์ฟ
เอลต่างจากเบียร์ในพารามิเตอร์ที่สำคัญหลายประการ ในการผลิตเบียร์จะใช้วิธีการหมักแอลกอฮอล์ชั้นยอดซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวสุเมเรียนและชาวอียิปต์โบราณ มันขึ้นอยู่กับความสว่างที่มีอยู่ในเชื้อรายีสต์ที่เติบโตในโลกเก่า ในกระบวนการหมัก ยีสต์ดังกล่าวย่อมลอยไปยังพื้นผิวของของเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดหมวกชนิดหนึ่ง มีเพียงการค้นพบของอเมริกาเท่านั้น ยีสต์ชนิดต่างๆ ที่หนักกว่าได้เข้ามายังยุโรป โดยตกตะกอนระหว่างการหมักที่ด้านล่างของถังหรือถัง ต่อมาคือเชื้อรายีสต์เหล่านี้ที่เริ่มใช้ในการผลิตเบียร์ลาเกอร์
อุณหภูมิการหมักเบียร์อยู่ระหว่าง 15 ถึง 24°C เนื่องจากยีสต์ที่เบากว่าต้องการความร้อน คู่หูในต่างประเทศของพวกเขารู้สึกสบายขึ้นมากที่อุณหภูมิต่ำกว่า (5-14 ° C และบางครั้งก็ต่ำกว่า) สถานการณ์หลังทำให้สามารถลดความเข้มของการสืบพันธุ์ในของเหลวของจุลินทรีย์ต่างๆ และด้วยเหตุนี้จึงปกป้องเบียร์จากการเปรี้ยวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ของการใช้ยีสต์ของอเมริกาในระดับอุตสาหกรรม และด้วยเหตุนี้การนำเบียร์ลาเกอร์มาสู่การผลิตจำนวนมาก ปรากฏเฉพาะกับการประดิษฐ์หน่วยทำความเย็นที่ทรงพลังเท่านั้น
การหมักที่อุณหภูมิสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการปล่อยสารประกอบเอสเทอร์และรสธรรมชาติต่างๆ อย่างเข้มข้น ทำให้เบียร์มีความสว่างและเข้มข้นยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีความเสถียรและควบคุมได้น้อยกว่าเบียร์ลาเกอร์
นอกจากนี้ ด้วยปัจจัยทางความร้อนเดียวกัน กระบวนการบ่มเบียร์ขั้นต้นจึงเร็วกว่าในกรณีของเบียร์ลาเกอร์มาก ใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ถึงสองเดือนโดยเฉลี่ย
เบียร์เอลคลาสสิกไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์หรือผ่านการกรอง ซึ่งต่างจากเบียร์ลาเกอร์ ดังนั้นเขาจึงเดินทางต่อไปตามที่ชาวอังกฤษพูดจนถึงหยดสุดท้าย เครื่องดื่ม "สด" ดังกล่าวมีรสชาติที่สว่างกว่าและเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่อายุการเก็บรักษานั้น จำกัด อยู่เพียงไม่กี่วัน
และในที่สุด เบียร์เอลส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาในอดีตเพื่อไม่ให้เกิดภาวะมึนเมาจากแอลกอฮอล์ แต่เพื่อดับกระหาย ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเบียร์ทั่วไป เบียร์เอลมีลำดับความสำคัญของแอลกอฮอล์น้อยกว่าและมีคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
สรุปจากทั้งหมดข้างต้น สังเกตได้ว่าจากมุมมองของผู้บริโภคโดยตรง เบียร์จะอ่อนกว่า เข้มข้นกว่า และไม่แน่นอนมากกว่า ในขณะที่เบียร์ลาเกอร์เป็นเครื่องดื่มที่แรงกว่า เสถียรกว่า และพกพาสะดวกกว่า
อย่างที่กล่าวไปแล้ว ควรเน้นว่าความไม่แน่นอนและความไม่แน่นอนของเบียร์นั้นตามกฎแล้ว อยู่ที่ความจริงที่ว่ามันสามารถดีหรือยอดเยี่ยมได้ ไม่ใช่เพื่ออะไรอย่างที่ผู้อ่านคนหนึ่งของเราตั้งข้อสังเกตเมื่อชิมเครื่องดื่มที่มีฟองหลากหลายแบบสุ่มสุ่มสี่สุ่มห้าผู้ผลิตเบียร์ในกรณีส่วนใหญ่อย่างท่วมท้นไม่เลือกเบียร์ แต่เบียร์
ความจริงที่ว่าเบียร์เป็นเบียร์ที่ชาวอังกฤษชื่นชอบเป็นที่รู้จักจากเพื่อนร่วมชาติส่วนใหญ่จากภาพยนตร์และหนังสือ
ในสหราชอาณาจักร พวกเขากล่าวว่าคุณสามารถจดจำประเทศของพวกเขาได้เพียงก้าวข้ามธรณีประตูของผับ ซึ่งยังคงผลิตเบียร์เอลอยู่ และรสชาติที่หวานอมขมกลืนและกลิ่นผลไม้ถือเป็นของขวัญจากพระเจ้า
รสชาติของเบียร์เอลแตกต่างจากเบียร์ทั่วไป แต่ก็ยังเป็นของตระกูลเครื่องดื่มที่มีฟองจากมอลต์ข้าวบาร์เลย์ รสชาติของเบียร์เอลคลาสสิกมีความพิเศษ โดยมีกลิ่นสมุนไพร เครื่องเทศและผลไม้ การไม่มีฮ็อปและการเตรียมอย่างรวดเร็วทำให้ได้รสชาติที่หวาน
ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไม่ผ่านการกรองหรือพาสเจอร์ไรส์ คุณสมบัติของเทคโนโลยีทำให้ความหลากหลายนี้มีคุณภาพเฉพาะตัว - เมื่อได้ลองดื่มเบียร์สักครั้ง คุณจะไม่มีวันสับสนกับเบียร์ลาเกอร์หรือเครื่องตี
ประวัติศาสตร์
ในศตวรรษที่สิบสองเครื่องดื่มที่มีชื่อนี้มีอยู่แล้วในอังกฤษ สูตรและองค์ประกอบยังไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ แต่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าฮ็อพถูกนำไปยังเกาะบริเตนใหญ่ในเวลาต่อมา
ทุกสิ่งที่ผู้ผลิตเบียร์ปรุงเรียกว่าเบียร์และเพื่อให้เครื่องดื่มหมักและไม่เน่าเสียเร็วเกินไปสมุนไพรและเครื่องเทศถูกเติมลงในสาโท - gruit ซึ่งประกอบด้วยไม้วอร์มวูด, ขิง, ลูกจันทน์เทศ, เฮเทอร์ ฯลฯ ยุคสมัยขนมปังและเบียร์เป็นผลิตภัณฑ์หลัก - ชุดขั้นต่ำโดยที่ชาวอังกฤษไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตได้
ฮอปส์ถูกนำเข้ามาจากฮอลแลนด์ในอังกฤษเมื่อปลายศตวรรษที่ 17 เท่านั้น และผู้ผลิตเบียร์ก็เริ่มใส่ฮอปส์ลงในสาโท ในการกำหนดเครื่องดื่มใหม่ที่มีฮ็อพพวกเขาเริ่มเรียกมันว่าเบียร์ แต่เบียร์ยังคงเตรียมตามสูตรเก่าต่อไป หนึ่งร้อยปีต่อมา เอลได้รับการยอมรับว่าเป็นเบียร์ประเภทหนึ่ง ตอนนี้มันรวมอยู่ในแนวคิดทั่วไปพร้อมกับพนักงานยกกระเป๋า บีตเตอร์ และลาเกอร์
ปัจจุบันมีการผลิตเบียร์เอลในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา เบลเยียม ไอร์แลนด์ ตอนนี้พวกเขามักจะใช้ในสูตรอาหารซึ่งละเมิดสูตรคลาสสิก แต่นำเครื่องดื่มเข้าใกล้รสนิยมที่ทันสมัยมากขึ้น
เอลแตกต่างจากเบียร์อย่างไร?
เอลไม่สามารถแตกต่างจากเบียร์ได้ - มันคือเบียร์เองหรือมากกว่า หนึ่งในพันธุ์ของมัน. เช่นเดียวกับทุกสายพันธุ์ เบียร์ภาษาอังกฤษได้มาจากการหมักของต้อง สูตรอาหารใช้ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวสาลีมอลต์ บางครั้งเป็นข้าวไรย์และธัญพืชไม่ใส่มอลต์ และมักจะไม่มีฮ็อป
เราคุ้นเคยกับเบียร์ลาเกอร์สีซีดที่เราคิดว่าเป็นเบียร์ที่แท้จริง ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะเข้าใจความแตกต่าง
ประเภทของการหมัก
เบียร์หมักด้วยวิธีการแบบโบราณที่ชาวสุเมเรียนใช้ ในทวีปของเรา ในยุคของการเกิดของเบียร์ เชื้อรา "เบา" เติบโตขึ้น ในระหว่างการหมัก พวกมันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำและก่อตัวเป็นฝายีสต์
เชื้อรา "หนัก" มาถึงยุโรปหลังจากการค้นพบอเมริกา พวกมันตกลงไปที่ด้านล่างของถังหมัก เป็นยีสต์ที่ใช้ในสูตรเบียร์
อุณหภูมิ
ยีสต์ชนิดเบาชอบความร้อน ดังนั้นอุณหภูมิการหมักที่เหมาะสมคือ 15-24°C สำหรับเบียร์ประเภทอื่น ๆ จะใช้วัสดุที่สะดวกสบายกว่าในอุณหภูมิที่เย็นถึง 14 ° C ในที่เย็นและจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์จะสูญเสียกิจกรรม สาโทไม่เปรี้ยวและสามารถหมักได้ช้าเป็นเวลานาน
แต่ในความร้อนจะมีการปล่อยสารประกอบเอสเทอร์ทำให้เบียร์มีรสชาติที่สดใสและลึกล้ำ ปัจจัยอุณหภูมิยังมีบทบาทในช่วงการหมักด้วย - เบียร์เติบโตเร็วกว่าเบียร์ในโรงเบียร์บางแห่งอาจใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์
การกรองและการพาสเจอร์ไรซ์
เบียร์เอลจากอังกฤษแท้ๆ ไม่ได้ผ่านการกรองหรือพาสเจอร์ไรส์ แต่จะหมักจนหยดสุดท้าย เบียร์สดถูกเก็บไว้เป็นเวลาหลายวัน แต่รสชาติเข้มข้นมาก
เบียร์ลาเกอร์สามารถเดินทางไกลได้ ซึ่งส่วนใหญ่อธิบายความนิยมได้
ป้อม
เบียร์เอลแท้จะสังเกตเห็นได้ง่ายหลังจากจิบครั้งแรก โดยจะอ่อนกว่าเบียร์ลาเกอร์เกือบทุกครั้งและมีคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า เอลไม่ได้มีไว้สำหรับมึนเมา แต่ดื่มเพื่อความสุขและดับกระหาย
รสชาติ
เอลเป็นเบียร์ที่อร่อย อ่อนแอ และเน่าเสียง่าย ลักษณะเด่นของมันคือรสหวานและกลิ่นผลไม้และผักเบา ๆ โดยไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์เด่นชัด
โรงเบียร์แต่ละแห่งมีชุดส่วนผสมของตัวเอง ในผับอังกฤษ คุณจะพบกับน้ำอัดลมที่มีลักษณะคล้ายควาส รสขมอ่อนๆ และเข้มมาก เข้มอ่อนพร้อมกลิ่นบ๊องๆ และพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย
ประเภทเบียร์
เกณฑ์การจำแนกเบียร์อังกฤษและไอริชคือ รส สี กลิ่น และสารปรุงแต่งรสเปรี้ยว. มีหลากหลายเกือบเท่าที่มีโรงเบียร์ - แทบทุกผับในสหราชอาณาจักรมีเครื่องดื่ม 2-3 ชนิด
บาร์เล่ย์
ไวน์ข้าวบาร์เลย์- เบียร์เอลเข้มข้นจากปริมาตร 8.5 ถึง 12% เรียกว่าไวน์บาร์เลย์ ต้มจากสาโทหนาแน่นซึ่งให้รสขม เบียร์นี้มีกลิ่นผลไม้เด่นชัดและสีน้ำผึ้งเข้ม เนื่องจากความแข็งแกร่งความหลากหลายจึงไม่สูญเสียคุณสมบัติไปเป็นเวลานานและเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะนิ่มนวล
ข้าวสาลี
Weizen Weisse- หอมกลิ่นขนมปังอบใหม่ๆ ดอกไม้ และผลไม้ สูตรโบราณและสีทองทำให้ความแตกต่างหลากหลายจากเบียร์เอลสมัยใหม่จำนวนหนึ่ง ป้อมปราการ - ปริมาตร 5-6%
พอร์เตอร์
เบียร์นี้เคยถูกเรียกว่า Porter's ale- นั่นคือ เบียร์สำหรับคนทำงานท่าเรือ แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รสชาติของเบียร์ที่ปรุงแต่งด้วยกลิ่นหอมทำให้ Porter เป็นหนึ่งในผู้นำด้านความนิยม พนักงานยกกระเป๋าจะมืดหรือสว่างก็ได้ ขึ้นอยู่กับสารเติมแต่งและประเภทของมอลต์ เบียร์แรงปานกลาง - จาก 4.5 ถึง 7% ฉบับ
อ้วน
อ้วนมักจะสับสนกับพนักงานยกกระเป๋า ไอริชสเตาต์มาจากพนักงานยกกระเป๋า แต่จะมืดเสมอเนื่องจากมอลต์คั่ว สายพันธุ์นี้ถือเป็นยาฟื้นฟูมาช้านานแล้ว และเบียร์ที่มืดมนที่สุดตอนนี้ก็เมาเพื่อความสุข
พันธุ์แตกต่างกันในด้านความแข็งแรงความอิ่มตัวของสีและรสชาติ แต่โน้ตกาแฟมักจะเดาในอ้วน
สีขาว
Weisse หรือ Berliner Weisse- เบียร์เยอรมันรสเปรี้ยวเบามาก (2.8% โดยปริมาตร) ในประเทศเยอรมนี ไลท์เบียร์ที่มีกลิ่นผลไม้เล็กน้อยอาจเสิร์ฟพร้อมกับน้ำเชื่อมหวาน
ขม
ขมชาวอังกฤษถือว่าเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจของชาติอย่างถูกต้อง อันที่จริงนี่ไม่ใช่ความหลากหลายที่ขมขื่นที่สุด ความขมเกิดจากการใช้ฮ็อพและไม่มีน้ำตาลในสูตร อาจเป็นสีทองแดงอ่อนหรือเข้มก็ได้ ป้อมปราการ - จาก 3 ถึง 6.5% ฉบับ
แลมบิก
แลมบิก- พันธุ์เบลเยี่ยมสีแดงพร้อมเชอร์รี่และราสเบอร์รี่ ปรุงในถังไวน์เก่าจากมอลต์ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลีและฮ็อพที่ไม่แตกหน่อ ยีสต์ไม่ได้ใช้ในการปรุงอาหาร ความแรงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุและสูตร
อ่อน
ง่ายที่สุด อ่อนใกล้เคียงกับความแข็งแรงของ kvass - จาก 2.5 ถึง 3.5% vol. มีการผลิตสองประเภท - สีอ่อนและสีเข้ม ทั้งสองแบบมีรสมอลต์ที่แตกต่างกัน
การใช้เอลคืออะไร?
ในเบียร์ที่ไม่ได้ผ่านการกรองและพาสเจอร์ไรส์ สารที่เป็นประโยชน์ของข้าวบาร์เลย์และยีสต์ของผู้ผลิตเบียร์จะถูกเก็บรักษาไว้
- องค์ประกอบทางเคมี P, Mg, Mn, Ca, Se, วิตามิน E และกลุ่ม B ชุดนี้มีประโยชน์สำหรับการเผาผลาญอาหาร บำรุงผมและผิวหนังให้แข็งแรง
- เบียร์สดประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดที่กระตุ้นการเผาผลาญโปรตีน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อในระหว่างการออกแรงทางกายภาพ
- หากเบียร์มีฮ็อป ในระหว่างการหมักด้านบน สารของเบียร์จะมีผลดีต่อการย่อยอาหาร เพิ่มความอยากอาหาร และบรรเทาความหงุดหงิด
- ในปริมาณที่พอเหมาะเครื่องดื่มมีผลผ่อนคลายหลอดเลือดขยายและความดันลดลง
ความสนใจ!การเริ่มต้นหลักสูตรการบำบัดด้วยเบียร์อย่าลืมความรู้สึกของสัดส่วน เอล 100 มล. มีประมาณ 40 กิโลแคลอรี สิ่งนี้จะต้องนำมาพิจารณาหากคุณให้คุณค่ากับตัวเลข
วิธีการดื่มเอล?
- เทเบียร์ลงช้าๆ ที่ด้านข้างของแก้วที่เอียง เบียร์ไม่ชอบโฟมสูง - มีความขมขื่นที่น่ารื่นรมย์ ในผับ การเติมแก้วอาจใช้เวลานานกว่า 5 นาที
- อย่าชิลล์นาน รสชาติเปิดที่ +7-12 oC คนอังกฤษมักจะให้ความร้อนกับเครื่องดื่มสีเข้ม แต่นี่เป็นเรื่องของประเพณี
- เบียร์ดำนั้นดีสำหรับการอุ่นเครื่อง ในขณะที่เบียร์เบา ๆ นั้นดีสำหรับฤดูเบียร์ฤดูร้อน
- อย่ารีบเทแก้วลงในจิบสักครู่ แต่อย่าดึงกระบวนการออก มิฉะนั้น กลิ่นหอมจะมอดลง ชาวอังกฤษเปรียบเทียบอัตราการดื่มกับการเดินช้าๆ ไม่รีบร้อน แต่มุ่งไปสู่เป้าหมาย
เรารู้อะไรเกี่ยวกับเบียร์บ้าง? บางคนเชื่อว่าชื่อนี้เป็นคำพ้องความหมายของคำว่า "เบียร์" บางคนเชื่อว่าเบียร์เอลเป็นเครื่องดื่มที่มีฟองจากข้าวบาร์เลย์ และบางคนก็มั่นใจว่าเพลงบัลลาดที่สวยงามของ Stevenson (แปลโดย Marshak) ประกอบด้วยเบียร์ไอริช จำเอาไว้: "และเขาก็หวานกว่าน้ำผึ้งขี้เมามากกว่าไวน์ ... "? สตีเวนสันอธิบายว่าเบียร์ชนิดนี้ถูกกลั่นโดยคนแคระในถ้ำทุ่งหญ้าบนภูเขา แล้วมันเป็นอย่างไรจริงๆ? มาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของเบียร์เอล ซึ่งเป็นเครื่องดื่มไอริชและสก็อตแบบดั้งเดิมกัน เรามาลองดูกันไหม? และเบียร์ประเภทใดที่เขามีในบ้านเกิดของเขาและในประเทศอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาวัฒนธรรมการต้มเบียร์ตามธรรมเนียม?
ประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่ม
ตอนนี้ทุกคนรู้ดีว่าเบียร์ถูกต้มจากฮ็อพ ข้าวบาร์เลย์ (บางครั้งเป็นข้าวสาลีหรือข้าว) มอลต์และน้ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เชื่อกันว่าความลับของเบียร์ถูกค้นพบโดยชาวสุเมเรียนโบราณเมื่อห้าพันปีก่อน แต่พวกเขาต้มโดยไม่มีฮ็อป ขั้นตอนการทำเครื่องดื่มใช้เวลาไม่นานเหมือนตอนนี้ มอลต์ที่ไม่มีฮ็อพจะหมักเร็วกว่า แต่เครื่องดื่มจะหวานกว่า เพื่อเพิ่มความขมขื่นอันเป็นที่รักของใครหลายคน เพื่อความสมดุลของรสชาติ ฮ็อปจึงเริ่มเติมลงในเบียร์ แต่พืชชนิดนี้ไม่เป็นที่รู้จักในเกาะอังกฤษจนกระทั่งศตวรรษที่ 15 เมื่อเริ่มนำเข้าจากฮอลแลนด์ ในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มใหม่ที่ชงด้วยการเติมฮ็อพ คำว่า "เบียร์" (เบียร์) ถูกนำมาใช้ และคำว่า "เอล" (เบียร์) แบบดั้งเดิม นอกจากเทคโนโลยีแล้วยังมีรสชาติที่แตกต่างจากเครื่องดื่มข้าวบาร์เลย์ที่คุ้นเคย เบียร์อังกฤษ สก็อต และไอริชเป็นที่รู้จัก แต่ตอนนี้ยังผลิตในเบลเยียมและเยอรมนีด้วย 
เทคโนโลยี
เราจะไม่ลงรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่นี่ ให้เราติดตามเฉพาะรูปแบบทั่วไปของการผลิตเท่านั้น ต่างจากลาเกอร์ - เบียร์รสขมและสงบ เอลไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ ความหวานของมอลต์ (เมล็ดพืชที่งอกและหมักแล้ว) ในเครื่องดื่มโบราณไม่ได้ทำให้ฮอปส์สมดุลกัน แต่เป็นส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพรที่เรียกว่า gruit มันต้มในสาโท ยีสต์ระหว่างการปรุงอาหารจะไม่จมลงไปที่ก้น แต่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เบียร์ไอริชถูกปล่อยให้หมักที่อุณหภูมิห้อง 15-24 องศาเซลเซียส เบียร์ลาเกอร์ต้องสัมผัสกับความเย็น (5-10 องศาเซลเซียส) และยีสต์ในเบียร์จะจมลงสู่ก้นถัง ดังนั้นเบียร์จึงเรียกว่าเบียร์หมักชั้นยอด แต่ถึงแม้จะเทลงในถังเครื่องดื่มนี้ก็ไม่ทำให้สุก เติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อให้กระบวนการหมักต่อ ทั้งรสชาติและความแรงของมันเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เครื่องดื่มเล่น แล้วบรรจุขวดเพื่อหยุดการสะสมของแอลกอฮอล์ 
ลักษณะเครื่องดื่ม
ที่อุณหภูมิสูงเช่นนี้ กระบวนการหมักจะเร็วกว่าเบียร์ชนิดเดียวกันและเข้มข้นกว่ามาก หากปราศจากความขมของฮ็อปด้วยการเติมสมุนไพร เครื่องดื่มก็จะมีรสหวานมากขึ้นด้วยรสชาติของผลไม้ที่เข้มข้น อาจเป็นกลิ่นหอมของลูกพรุน กล้วย สับปะรด ลูกแพร์ หรือแอปเปิ้ล อันเป็นผลมาจากความจริงที่ว่าเครื่องดื่มถูกปล่อยให้สุกในถังจึงกลายเป็น "คนเมากว่าไวน์" เบียร์ไอริชเอลแรงแค่ไหน? มีกี่องศาในนั้น? เช่นเดียวกับในไวน์ขึ้นอยู่กับอายุ ในคนเฝ้าประตูชื่อนี้เพราะคนเฝ้าประตูตกหลุมรักมันเพราะความแรงของแอลกอฮอล์ 10% และในไวน์บาร์เลย์ (ไวน์บาร์เลย์) - ทั้งหมด 12. ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องดื่มที่อ่อนกว่า: น้ำอัดลมหรือเบียร์เบา (2.5-3.5%) แต่จุดเด่นของเบียร์ประเภทนี้คือหวานกว่าและไม่ขม และในแง่ของความคงเส้นคงวา มันเข้มข้นกว่า เข้มข้นกว่าเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาแบบเดิมๆ 
ไอริช ale หลากชนิด
เครื่องดื่มได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนจนจะแปลกถ้าสูตรยังคงเป็นสูตรเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง ไม่นานหลังจากที่เครื่องดื่มน้ำผึ้งแบบดั้งเดิมของจริงซึ่งถูกเทโดยไม่มีแรงกดดันจากด้านบนซึ่งแตกต่างจากเบียร์ธรรมดาพันธุ์อื่น ๆ ตามมา ในหมู่พวกเขาควรสังเกตเบียร์ไอริชเข้ม นี่คือกินเนสส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก สเตาท์นี้ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นผู้ประกอบการในดับลิน โดยได้สีกาแฟจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์คั่วและมอลต์คาราเมล เรียกอีกอย่างว่าคนเฝ้าประตูที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้ว่าจะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 7% คิลเคนนี เบียร์ไอริชสีแดงก็เป็นที่นิยมเช่นกัน มีรสชาติเข้มข้นและสีทับทิมที่เข้มข้น ได้ชื่อมาจากเมืองเล็กๆ ในไอร์แลนด์ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดเซนต์ฟรานซิส พระท้องถิ่นได้ผลิตเบียร์ชนิดนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ความแรงของเครื่องดื่มประมาณ 4% และสีที่น่าสนใจทำได้โดยการเพิ่มมอลต์คาราเมลที่ผ่านการแปรรูปเป็นพิเศษจำนวนเล็กน้อย
ไอริชเอลในยุโรปแผ่นดินใหญ่
ในประเทศเหล่านั้นที่ประเพณีการกลั่นเบียร์มีรากฐานมาจากอดีตอันไกลโพ้น การทำเบียร์ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกัน การใช้ฮ็อพเป็นนวัตกรรมของเยอรมัน ในเบลเยียม พระ Trappist ตั้งแต่ยุคกลางตอนต้นทำได้โดยไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ผลิตเบียร์เริ่มทำการทดลองโดยเติมฮ็อพ ข้าวบาร์เลย์ และมอลต์ข้าวสาลี ยีสต์ และแม้แต่น้ำผลไม้ลงในเครื่องดื่ม นี่คือที่มาของเบียร์เอลอย่าง Rhenish Kölsch (เครื่องดื่มที่มีฟองเล็กน้อย) Altbier (แปลตามตัวอักษรว่า "เบียร์เก่า") ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในเยอรมนีเช่นกัน มันถูกต้มในดึสเซลดอร์ฟ เบลเยียมสามารถเกลี้ยกล่อมเบียร์ได้แม้กระทั่งผู้ที่อ้างว่าไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มนี้ได้ ต้องลอง "Scream" และ "Trapper Fathers", "Double" และ "Triple" เท่านั้น ด้วยกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่ กล้วย เชอร์รี่ ... 
เอลในรัสเซีย
ในดินแดนอัลไต ในหมู่บ้าน Bochkari เบียร์ไอริชเพิ่งเริ่มผลิตได้ไม่นานเช่นกัน ความคิดเห็นของผู้ที่ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้กล่าวว่าเครื่องดื่มรัสเซียมีความคล้ายคลึงกับของจริง จิบแรกให้ความรู้สึกผิด ๆ เกี่ยวกับรสขม แต่หลังจากจิบที่สอง ความหวานของคาราเมลก็เผยออกมา กลิ่นหอมของครีมท๊อฟฟี่ สีทองแดงอำพัน ฟองไม่เยอะจนเกินไป ในตอนสุดท้ายไม่มีความรู้สึกขมขื่น แต่มีเพียงรสเมล็ดคั่วที่ค้างอยู่ในคอเล็กน้อยเท่านั้น รีวิวรับรองว่าเบียร์นี้ดื่มง่าย ให้ความรู้สึกโดยรวมของเครื่องดื่มที่ลดทอนระดับปานกลาง นี่คือ - รัสเซียเรียกว่า "Irish Ale" เบียร์ มีกี่องศาในนั้น? ปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างจับต้องได้ - 6.7 เปอร์เซ็นต์
fb.ru
จินเจอร์เอล
Ginger ale เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น หวานน้อย มีกลิ่นขิงอ่อนๆ มักใช้ในรูปแบบบริสุทธิ์ แต่บางครั้งก็เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมสำหรับค็อกเทล
นอกจากรสชาติแล้ว จินเจอร์เอลยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย แนะนำให้ใช้สำหรับอาหารไม่ย่อย และยังบรรเทาอาการไอและเจ็บคอ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จินเจอร์เอลเป็นที่นิยมในค็อกเทลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ วิธีนี้ช่วยคนที่ไม่ดื่มเหล้าแต่ไม่อยากทะเลาะกับบริษัท ลองมาดูสูตรอาหารสองสามอย่างกับคุณเกี่ยวกับวิธีการทำเบียร์
สูตรน้ำขิงไร้แอลกอฮอล์
วัตถุดิบ:
- รากขิง - 150 กรัม
- น้ำตาลทราย - 4 ช้อนโต๊ะ ล. ช้อน;
- มะนาว - 3 ชิ้น;
- น้ำอัดลม - 3 ลิตร;
- ใบสะระแหน่ - เพื่อลิ้มรส
การทำอาหาร
คุณทำน้ำขิงที่บ้านได้อย่างไร? เราใช้ขิงสดปอกเปลือกแล้วถูบนเครื่องขูดหยาบและผสมให้เข้ากันกับน้ำตาลทรายโดยไม่ต้องระบายน้ำผลไม้ จากนั้นใส่ผิวเลมอนขูดละเอียด ผสมและกดส่วนผสมที่ได้กับของหนักๆ ไว้ประมาณ 20 วินาที ต่อไปเราส่งมะนาวที่ปอกเปลือกแล้วผ่านเครื่องคั้นน้ำผลไม้และเติมน้ำทั้งหมดลงในส่วนผสมของเรา เติมน้ำอัดลมแล้วปล่อยให้เครื่องดื่มชงประมาณ 10 นาที จากนั้นลองอย่างระมัดระวังและถ้ามันออกเปรี้ยวเกินไปให้เติมน้ำตาลอีกเล็กน้อยและถ้าหวานก็เจือจางด้วยน้ำมะนาว เรากรองเครื่องดื่มสำเร็จรูปแล้วเทลงในแก้ว ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ด้านบน ในวันฤดูร้อนสามารถเติมน้ำแข็งลงในเครื่องดื่มได้
สูตรน้ำขิงแอลกอฮอล์
วัตถุดิบ:
- น้ำตาล - 1 ช้อนโต๊ะ;
- รากขิง - 30 กรัม
- น้ำมะนาว - 0.5 ช้อนโต๊ะ;
- ยีสต์แห้ง - ¼ ช้อนชา;
- น้ำเย็นต้ม - 2 ลิตร
การทำอาหาร
วิธีทำจินเจอร์เอลที่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้นเราจึงนำขวดพลาสติกขนาด 2 ลิตรที่สะอาดแล้วใช้กรวยเทน้ำตาลและยีสต์แห้งลงไป จากนั้นเราก็นำรากขิงสดมาปอกเปลือกแล้วถูบนเครื่องขูดที่ละเอียด คุณควรมีประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ขิงบดหนึ่งช้อน นำขิงขูดใส่ถ้วยตวงเหลี่ยมอย่างระมัดระวังแล้วพักไว้
นำมะนาวบีบน้ำออกแล้วใส่ขิงสักแก้ว ผสมเนื้อหาของแก้วให้ละเอียดจนได้มวลที่เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อยแต่แช่เย็นแล้วคนให้เข้ากัน หากคุณยังคงต้องการทำเบียร์เอลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ในขั้นตอนนี้ เพียงแค่เติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาล ผสมและเทลงในแก้ว ตกแต่งด้วยมินต์สด แต่การได้แอลกอฮอล์หรือหมักดอง 
น้ำขิงเทเนื้อหาของแก้วลงในขวดที่มียีสต์และน้ำตาลอย่างระมัดระวัง ปิดฝาแล้วเขย่าให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายหมด จากนั้นเราเทน้ำลงในขวดโดยไม่ต้องเพิ่มคอประมาณ 2 ซม. ตอนนี้เราวางเครื่องดื่มของเราในที่อบอุ่นและรอ 2 วันเพื่อให้เบียร์หมัก คุณสามารถตรวจสอบระดับการหมักได้ด้วยวิธีต่อไปนี้: ใช้นิ้วกดขวดเบาๆ และทันทีที่ขวดแข็งตัวและไม่เริ่มบีบ การหมักจะเสร็จสิ้น กระบวนการนี้มักใช้เวลา 24 ถึง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจินเจอร์เอลที่มีแอลกอฮอล์ก็พร้อม ก่อนดื่มต้องกรองเครื่องดื่มด้วยกระชอนหรือผ้าก๊อซ ความแตกต่างอีกประการหนึ่งก่อนที่จะเปิดขวดจินเจอร์เอลหนึ่งขวดจะต้องทำให้เย็นลงอย่างทั่วถึงล่วงหน้าในตู้เย็นไม่เช่นนั้นเครื่องดื่มก็จะกระเด็นออกมา
เทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงในแก้ว ตกแต่งด้วยสะระแหน่ อบเชย หรือผิวส้ม พร้อมเสิร์ฟ
womanadvice.ru
จินเจอร์เอล
เราทุกคนรู้จักเบียร์จำนวนมาก แต่ในหมู่พวกเขามีหนึ่งที่แยกจากกัน - นี่คือจินเจอร์เอล (เบียร์) โดยหลักการแล้วเครื่องดื่มนี้มีเพียงสีและโฟมเท่านั้นที่สามารถทำให้เรานึกถึงเบียร์จริง เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์แบบคลาสสิก แต่มีสูตรที่ให้คุณปรุงแบบแอลกอฮอล์ได้ ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เบียร์ของคุณจะแตกต่างจากร้านค้าที่คล้ายคลึงกันเฉพาะผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเท่านั้น เบียร์ขิงเป็นเครื่องดื่มรสหวานสีน้ำตาลอัดลมที่มีรสขิงเข้มข้น ตามกฎแล้วเมาแล้วแช่เย็นในรูปแบบบริสุทธิ์หรือเติมลงในสุรา (วอดก้า, วิสกี้, จิน) เบียร์ขิงสามารถมีรสชาติเหมือน kvass ทั่วไป ซึ่งอาจหวานกว่าเล็กน้อย แทนที่จะใช้มอลต์เบส มันใช้ส่วนผสมที่ประกอบด้วยขิง มะนาว และน้ำตาลอ้อย เครื่องดื่มดังกล่าวคิดค้นโดยศัลยแพทย์และเภสัชกรชาวอเมริกัน Thomas Cantrell สูตรแรกสำหรับเบียร์ดังกล่าวปรากฏในยุค 70 ของศตวรรษที่สิบเก้า
สูตรเบียร์ขิงไร้แอลกอฮอล์
วัตถุดิบ:
การทำอาหาร:
ขูดรากขิงและผสมกับน้ำตาล เพิ่มน้ำมะนาวและผสมให้ละเอียด เทส่วนผสมของเราด้วยน้ำแร่อัดลมเย็น เรายืนยัน 5 นาที จากนั้นกรองเบียร์ขิงด้วยผ้า เติมสะระแหน่และมะนาวสองสามชิ้น เราเสิร์ฟที่โต๊ะ
สูตรเบียร์แอลกอฮอล์ขิง
วัตถุดิบ:
- ขิงบด 25 กรัม
- น้ำตาล 400 กรัม
- ไวน์ขาว 150 มล.
- น้ำ 4 ลิตร
- ยีสต์แห้ง 15 กรัม
การทำอาหาร:
ผสมขิงกับไวน์และน้ำตาล เทน้ำร้อน ปล่อยให้เย็นถึง 30°C เพิ่มยีสต์แห้ง เมื่อสังเกตเห็นการหมัก หลังจากผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง ให้เทเบียร์ขิงลงในขวดแล้วใส่ไว้ใต้ผนึกน้ำ เรากรองเครื่องดื่มด้วยผ้าขาวหลังจากผ่านไป 2 วัน เทลงในขวดปิดฝาให้แน่นแล้วใส่ในตู้เย็น หลังจากอยู่ในตู้เย็น 1 วัน จินเจอร์เอลก็พร้อมดื่ม มันเกิดฟองเหมือนเบียร์จริงด้วยคาร์บอนไดออกไซด์
จินเจอร์เอลจาเมกา
วัตถุดิบ:
- ทาร์ทาร์ 30 กรัม
- ขิง 100 กรัม
- น้ำตาลทราย 2 กก.
- 4 มะนาว;
- แพคเกจของผู้ผลิตเบียร์ยีสต์
การทำอาหาร:
ผสมมะนาวสับกับหนัง ขิงขูด น้ำตาล และครีมออฟทาร์ทาร์ จากนั้นเราปรุงส่วนผสมนี้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงด้วยความร้อนต่ำเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เย็นถึงอุณหภูมิห้องและเพิ่มยีสต์ ส่วนผสมหมักเป็นเวลาหนึ่งวัน จากนั้นเทลงในชามอีกใบแล้วทิ้งไว้จนสุกเต็มที่
เล็กน้อยเกี่ยวกับคุณสมบัติของเบียร์ขิง:
- อีกชื่อหนึ่งของเบียร์ขิงคือน้ำมะนาวขิง
- เข้ากันได้ดีกับวิสกี้
- เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ขิงมักถูกดื่มโดยตัวละครจากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์
- ใช้รักษาอาการปวดหัว อาการไอ และอาหารไม่ย่อย
oimbre.com
Ginger ale: คุณสมบัติการดื่มและสูตรการทำอาหาร
ปัจจุบันมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์จำนวนมาก ซึ่งเบียร์เป็นที่นิยมอย่างมาก นี่คือเบียร์ประเภทหนึ่งที่ผลิตขึ้นโดยการหมักอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิสูง และประวัติของการปรากฏตัวของเครื่องดื่มนี้มีอายุย้อนไปถึงยุคกลาง เครื่องดื่มนำเสนอในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจินเจอร์เอล มีคำถามมากมาย: มันคืออะไร, องค์ประกอบของมันคืออะไร, มีคุณสมบัติอย่างไร, และวิธีทำจินเจอร์เอลที่บ้าน? เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องเปิดประวัติศาสตร์ กล่าวคือประวัติความเป็นมาของการสร้างเครื่องดื่มนี้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง
ประวัติของจิงเจอร์เอล
Ginger ale เป็นเครื่องดื่มอัดลมที่มีรสหวานและมีกลิ่นของขิงเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติที่จะดื่มเครื่องดื่มนี้ทั้งในรูปแบบบริสุทธิ์และเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมของค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์ Ginger ale สามารถเตรียมได้ทั้งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเป็นยาชูกำลังที่ปราศจากแอลกอฮอล์
เบียร์ขิงปรากฏตัวขึ้นในกลางศตวรรษที่ 18 ในเขตยอร์กเชียร์ของอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไป ความนิยมของเบียร์ชนิดนี้ก็แพร่หลายไปทั่วอังกฤษ และในศตวรรษที่ 20 เมื่อเริ่มมีข้อห้ามในสหรัฐอเมริกา Ginger ale เป็นร้านพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ในเวลานี้เบียร์ขิงได้รับสถานะของเครื่องดื่มที่สดใหม่อร่อยและเป็นยาชูกำลัง
องค์ประกอบและคุณสมบัติของจินเจอร์เอล
สูตรเครื่องดื่มดั้งเดิมประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รากขิง น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาว และยีสต์ ส่วนผสมถูกปล่อยให้หมักเป็นเวลาหลายวันหลังจากนั้นจึงได้เบียร์ขิงที่ยอดเยี่ยม องค์ประกอบของเครื่องดื่มอาจรวมถึงน้ำผึ้ง, มะนาวหรือมะนาว, ผลไม้และกลีบต้นชาทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสูตร เบียร์มี 2 ประเภท: มืดและสว่าง เบียร์ดำมีสีน้ำตาลที่เข้มข้นกว่าและมีรสชาติที่สว่างกว่าเบียร์เอลเบา
Ginger ale มีประสิทธิภาพอย่างมากสำหรับโรคหวัดและอาการอักเสบอื่นๆ เนื่องจากส่วนผสมหลัก - ขิง - มีสรรพคุณทางยาที่มีประโยชน์มาก องค์ประกอบของเครื่องเทศนี้ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมาก เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ซิลิกอน โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินซี และอื่นๆ ขิงเป็นยาแก้ปวดที่ดีเยี่ยมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามบางประการในการดื่มจินเจอร์เอล ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากความดันโลหิตต่ำ, โรคผิวหนังอักเสบในระหว่างการกำเริบ, กับแผลในกระเพาะอาหารและ cholelithiasis ไม่ควรรับประทาน นอกจากนี้ยังควรงดดื่มเครื่องดื่มนี้สำหรับการตกเลือดของการแปลต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์และระหว่างให้นมบุตร
สูตรน้ำขิง
ในการทำจินเจอร์เอลที่บ้าน คุณไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ คุณเพียงแค่ต้องเลือกสูตรที่เหมาะกับรสนิยมของคุณและติดอาวุธให้กับตัวเองด้วยรายการผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น มาดูวิธีการเตรียมเครื่องดื่มนี้กันดีกว่า
สูตรสำหรับทำจินเจอร์เอลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ประกอบด้วย:
- รากขิง - 150 กรัม
- น้ำตาลทราย - 4 ช้อนโต๊ะ ล. ช้อน;
- มะนาว - 3 ชิ้น;
- น้ำอัดลม - 3 ลิตร;
- ใบสะระแหน่เพื่อลิ้มรส
รากขิงสดจะต้องปอกเปลือกและขูดแล้วผสมกับน้ำตาล นำความเอร็ดอร่อยออกจากมะนาวขูดละเอียดแล้วใส่ขิงและน้ำตาลลงในส่วนผสม มะนาวที่ปอกเปลือกแล้วจะต้องผ่านเครื่องคั้นน้ำผลไม้ เติมน้ำที่ได้ลงในขิงแล้วเทส่วนผสมทั้งหมดด้วยน้ำอัดลม ปล่อยให้เบียร์ที่ได้ชงเป็นเวลา 10 นาที จากนั้นกรองเครื่องดื่ม เทลงในแก้วและตกแต่งด้วยใบสะระแหน่
สูตรการทำเบียร์เอลแบบคลาสสิกประกอบด้วย:
- น้ำตาล - 1 ถ้วย;
- รากขิง - 30 กรัม
- น้ำมะนาว - ครึ่งแก้ว;
- ยีสต์แห้ง - ครึ่งช้อนชา;
- น้ำเย็น - 2 ลิตร
ส่วนผสมแห้ง เช่น น้ำตาลและยีสต์ ต้องเทลงในขวดแก้วที่สะอาด จากนั้นใส่ขิงที่ปอกเปลือกแล้วขูดบนเครื่องขูดขนาดกลาง น้ำมะนาวจะต้องผสมอย่างทั่วถึงกับขิง น้ำตาลทราย และยีสต์จนได้ความสม่ำเสมอที่เป็นเนื้อเดียวกัน ปิดฝาส่วนผสมนี้แล้วรอจนน้ำตาลละลาย
จากนั้นคุณต้องเติมน้ำลงในโถที่มีส่วนผสมของขิง จากนั้นใส่เบียร์เอลในที่อบอุ่นเป็นเวลา 2 วันก่อนเริ่มกระบวนการหมัก สูตรนี้ต้องใช้เวลาหมัก 24 ถึง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องกรองน้ำขิงและทำให้เย็นลงก่อนเสิร์ฟ
สูตรสำหรับเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์กับขิงและน้ำผึ้งประกอบด้วย:
- ขิงสด 50 กรัม
- 1 มะนาว;
- น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา
- น้ำแร่ 1 ลิตร
เพื่อเตรียมเครื่องดื่ม จำเป็นต้องเอาผิวเลมอนออกจากมะนาวแล้วผสมกับขิงปอกเปลือกขูดบนเครื่องขูดที่ละเอียด จากนั้นเติมน้ำผึ้งลงในส่วนผสมของมะนาวและขิงแล้วคนให้เข้ากันจนละลายหมด ปล่อยให้ส่วนผสมนี้ผสมและหลังจาก 10 นาทีเติมน้ำแร่ลงไป ปิดฝาภาชนะด้วยเบียร์ที่เตรียมไว้อย่างแน่นหนาพร้อมฝาและแช่เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
สูตรสำหรับจินเจอร์เอลกับลูกเกดประกอบด้วย:
- น้ำเย็น 4 ลิตร
- รากขิง 200 กรัม
- 3 มะนาว;
- น้ำตาล 0.5 กก.
- ลูกเกด 100 กรัม
สูตรนี้ต้องใช้ความอุตสาหะและการทำงานค่อนข้างนาน แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า เพื่อเตรียมจินเจอร์เอล คุณต้องใส่ลูกเกดในขวดลิตร เติมน้ำมะนาว 1 ลูกพร้อมกับเนื้อ น้ำตาล 2 ช้อนชา และขิงขูด 1 ช้อนชา ส่วนผสมทั้งหมดนี้จะต้องเทน้ำ 300 มล. คลุมด้วยผ้าบาง ๆ แล้วทิ้งไว้ในที่อบอุ่นเป็นเวลา 3 วัน หลังจากเวลาที่กำหนดส่วนผสมจะเริ่มหมักและหลังจากนั้นจะต้อง "ให้อาหาร" นั่นคือเพิ่มน้ำตาล 2 ช้อนชาและขิง 1 ช้อนชาทุกวันเป็นเวลา 7 วัน
ในวันที่ 10 เติมน้ำตาล 0.5 กก. ลงในน้ำเดือด 600 มล. แล้วคนให้เข้ากันจนเป็นน้ำเชื่อมใส เพิ่มน้ำมะนาวที่เหลือคนให้เข้ากัน เทสารละลายที่ได้ลงในน้ำที่เหลือ ผสมให้เข้ากัน แล้วเทลงในภาชนะที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ปล่อยให้แช่เป็นเวลา 4 วันแล้วใส่ในตู้เย็น
สูตรสำหรับเอลกับวิสกี้ก็ผิดปกติเช่นกัน สำหรับการเตรียมการมีความจำเป็น:
- สก๊อตวิสกี้ 50 มล.;
- จินเจอร์เอลที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ 150 มล.
- มะนาวครึ่งลูก;
- น้ำแข็ง 200 กรัม
เทน้ำแข็งลงในชามค็อกเทลด้านบน เทวิสกี้และจินเจอร์เอล บีบน้ำมะนาวครึ่งลูก คุณสามารถตกแต่งค็อกเทลด้วยความเอร็ดอร่อยของมะนาวหรือใบสะระแหน่ เหมาะที่จะใช้สูตรนี้เมื่อจัดปาร์ตี้ที่อบอุ่นเป็นกันเอง
ในสภาพอากาศร้อน เครื่องดื่มขิงเย็นๆ จะช่วยบรรเทาความกระหายได้โดยตรง เพราะขิงให้ผลโทนิค ในขณะที่มะนาวให้ความสดชื่น
pro-imbir.ru
สูตรอาหาร: Ginger Ale | เบียร์ การผลิตเบียร์และการต้มเบียร์
ส่วนผสมทั้งหมดสำหรับเอลประกอบ!
ความคิดเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับส่วนผสม:
- วันนี้ฉันทำจินเจอร์เอล 5 ลิตร จึงมีส่วนผสมมากกว่าในรูป 2-2.5 เท่า
- รากขิงมีจำหน่ายในร้านค้าและมีราคาไม่แพงนัก
- ฉันใช้ยีสต์ Saf-Levure ด้วยเหตุผลสามประการ: พวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว มีขายในหลายๆ แห่ง และฉันเคยเห็นยีสต์เครื่องดื่มจากบริษัทนี้เท่านั้น (บรรจุภัณฑ์สีน้ำเงิน) แต่ยีสต์ของคนทำขนมปังธรรมดา (สีแดง) ก็ใช้ได้ดี ดังนั้นให้ใช้อะไรก็ได้ที่คุณพบ
- น้ำตาลยังสามารถนำมาใช้แบบธรรมดาได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับสองสิ่งคือ เพื่อให้ยีสต์มีของกินและแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ และเพียงเพื่อความหวาน แต่ในความคิดของฉันกกจะดีกว่ามาก ฉันซื้อน้ำตาลอ้อยจากต่างประเทศเพราะในประเทศของเราไม่มี GOST สำหรับแนวคิดดังกล่าวและคุณสามารถซื้อน้ำตาลย้อมสีธรรมดาที่คุณใส่ในชาได้
- น้ำจากก๊อกหรือจากตัวกรองในครัวเรือนจะต้องต้มแล้วทำให้เย็นลงเพื่อให้ไม่เกิน 30-40 องศาที่อุณหภูมิสูงกว่ายีสต์จะตาย ฉันขี้เกียจเกินไปที่จะต้มและทำให้เย็น ฉันจึงใช้น้ำนิ่งที่ซื้อมาจากร้าน
มาเริ่มทำจินเจอร์เอลกัน
ก่อนอื่นคุณต้องล้างมะนาวและขิงให้ดีก่อน พักมะนาวไว้ก่อน แล้วปอกขิงตอนปอกมันฝรั่ง แล้วล้างออกอีกครั้ง
ขิงปอกหนังในถังขยะ
ส่วนต่อไปสามารถทำได้ด้วยเครื่องผสมหรือเครื่องปั่น ฉันไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งดังนั้นฉันจึงใช้เครื่องขูดที่ดี อันที่เล็กที่สุดที่พังหรือมีรูกลมเล็ก - ไม่สำคัญหรอก รูจะง่ายกว่า เส้นใยขิงยึดติดกับเครื่องขูดที่ฉีกขาดอยู่ตลอดเวลา แต่ผลก็เหมือนกัน - ฉันตรวจสอบแล้ว ในกระบวนการนี้ คุณสามารถใช้ช้อนโต๊ะและวัดว่าคุณได้ถูไปแล้วมากน้อยแค่ไหน มิฉะนั้น ฉันจะถูมากกว่าที่จำเป็น 2 เท่าในครั้งแรก
ส้อมเพื่อช่วย
เมื่อเหลือชิ้นเล็กๆ และขิงบางชิ้นมีขนาดเล็ก ให้ใช้ส้อมปกป้องนิ้วของคุณ ดังที่แสดงในภาพด้านบน
ก้อนขิงก็ออกมาแบบนี้
ตอนนี้ถึงคราวของมะนาวแล้ว สำหรับ 2 ลิตรฉันใช้ครึ่งหนึ่งตามสูตรหรือมะนาวทั้งลูก บางครั้งมะนาวก็ลูกเล็ก บางทีก็เสียดายที่ทิ้งไป โดยทั่วไปจะไม่เลวร้ายลง แต่ควรทำตามสูตรเสมอ จากมะนาวเราต้องการน้ำผลไม้เท่านั้นเพื่อจุดประสงค์นี้ฉันมีเครื่องบดเนื้อมหัศจรรย์ซึ่งเปลี่ยนเป็นคั้นน้ำผลไม้ส้มที่สง่างามด้วยการสะบัดข้อมือ หากไม่มีสิ่งใดเลยให้ใส่มีดที่มีใบมีดแคบตั้งฉากกับการตัดมะนาวเพื่อให้ติดอยู่ตรงกลางแล้วกดด้วยมือ - ด้วยวิธีนี้ปริมาณน้ำหลักจะไหลลงมาที่มีดและ มันจะง่ายกว่าสำหรับคุณที่จะกดเมื่อเนื้อสัมผัสกับพื้นผิวของมีดแข็ง จำไว้ว่าคุณกำลังทำงานกับของมีคม ดังนั้นควรระมัดระวังและควบคุมการเคลื่อนไหวของคุณ
เนื้อที่เหลืออยู่ในคั้นน้ำผลไม้ฉันยังโยนมันลงไปในน้ำผลไม้คุณไม่สามารถโยน
บีบมะนาวลงในภาชนะเปล่า แล้วเติมขิงที่ขูดไว้ก่อนหน้านี้ลงในน้ำผลไม้ที่ได้ จากนั้นเราก็เก็บภาชนะนี้ไว้ - ให้พวกเขาได้เป็นเพื่อนกันสักหน่อย มาต่อกันที่น้ำ น้ำตาล และยีสต์กัน
นำขิงกับน้ำผลไม้ พักไว้สำหรับส่วนผสมที่เหลือ
เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น ฉันเทน้ำจากกระป๋องห้าลิตรลงในหม้อใบใหญ่ เราจะไม่ปรุงอะไรเลย ฉันแค่ผสมส่วนผสมทั้งหมดที่อยู่ในภาชนะแล้วเติมน้ำ - มันง่ายกว่าสำหรับฉัน
เทน้ำตาลลงในกระป๋องเปล่า ภาพแสดงน้ำตาลทรายขาวในขวด - ฉันลืมไปว่าคราวนี้ฉันใส่ 5 ลิตรและซื้อ 500 กรัม น้ำตาล - 2 แก้วแทนสามแก้วที่กำหนด ฉันต้องเติมแก้วปกติ
น้ำตาลหมดขวด
โรยยีสต์บนน้ำตาล จำไว้ว่าฉันเตรียมช้อนชาไว้ 5 ลิตร 1/4 ช้อนชาก็เพียงพอสำหรับ 2 ลิตร ถ้ายีสต์กินน้ำตาลมากเกินไป ก็จะมีส่วนผสมที่ขมขื่น
เทยีสต์ใส่น้ำตาล
เท่านี้ก็พร้อมแล้ว ตามคำเชิญ แค่เติมน้ำ
อันที่จริงเราไม่มีอะไรจะรอ เติมน้ำในขวดให้เต็ม เว้นฝาไว้ 3 เซนติเมตร บิดฝาให้แน่นแล้วเขย่าให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายหมด แน่นอนคุณสามารถรอจนละลายเองแล้วเขย่าสองสามครั้งเพื่อกวน แต่น้ำตาลเกือบหนึ่งกิโลกรัมจะละลายเป็นเวลานานและ 250 กรัมเช่นกันและขั้นตอนสุดท้ายยังรอเราอยู่ - ซีลน้ำ
เราใส่จินเจอร์เอลไว้ใต้ผนึกน้ำ
ให้ฉันอธิบาย เผื่อไว้ ตราประทับน้ำคืออะไร และทำไมจึงจำเป็น ในระหว่างกระบวนการหมัก เบียร์สามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาได้ ซึ่งจะทำให้ขวดของคุณแตกได้ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าคุณไม่ปล่อยออก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน ผลิตภัณฑ์จากการหมักจะเปลี่ยนเป็นน้ำส้มสายชูแทนแอลกอฮอล์ ดังนั้น เราต้องฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว: ไล่แก๊สส่วนเกินออกและกันออกซิเจน ด้วยเหตุนี้จึงใช้การออกแบบวาล์วที่ค่อนข้างง่ายซึ่งเรียกว่าซีลน้ำ คุณสามารถซื้อได้ในร้านค้าหรือคุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน
ในการทำซีลกันน้ำอย่างง่าย เราต้องการหลอดจากหลอดหยดทางการแพทย์ (ขายในร้านขายยา ปลอดเชื้อ) ฝาจากขวดของเราและภาชนะที่เติมน้ำบางส่วน - ฉันใช้ขวดอื่น เราทำรูในฝาจากขวดเบียร์ขิงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าหลอดเล็กน้อยและจัดการเพื่อใส่เข้าไปในอีกขวดหนึ่ง ทำให้ถูกต้องในครั้งแรกหากคุณไม่มีฝาปิดสำรอง เป้าหมายคือเพื่อให้แน่ใจว่าอากาศผ่านเข้าไปในท่อเท่านั้นและไม่รั่วไหลเข้าไปในช่องว่างระหว่างท่อกับฝาปิด เราบิดเบียร์เอลของเราด้วยฝาที่มีหลอด และลดปลายอีกด้านของเบียร์ลงในภาชนะเสริมที่มีน้ำ เพื่อไม่ให้ท่อออกมาจากน้ำไม่ว่าในกรณีใดๆ
ทุกอย่างพร้อม เพียง 4 วันที่น่าเบื่อรอข้างหน้า
เนื่องจากฉันมีท่อบาง เผื่อในกรณีที่ฉันทำ 2 รูและสองท่อเพื่อการกำจัดก๊าซที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉันยังไม่ใช่มืออาชีพและอธิบายไม่ได้ว่าทำไม แต่มันเกิดขึ้นที่สูตรและสภาพการเก็บรักษาที่เหมือนกันทุกประการ เบียร์เอลหนึ่งชุดจะหมักอย่างเข้มข้นและเดือดด้วยผนึกน้ำ เหมือนรถจักรไอน้ำ ไม่ใช่ฟองสบู่ หลุดจากท่อของคนอื่น
ในรูปแบบนี้ เราวางจินเจอร์เอลไว้ที่ไหนสักแห่งที่ครอบครัวจะไม่ชนมัน เขาจะยืนอยู่ที่นั่นอีกสองวันข้างหน้า คุณไม่จำเป็นต้องปล่อยให้หมักนาน ยีสต์จะกินน้ำตาลทั้งหมดและคุณจะได้รสขมบด
หลังจากผ่านไป 2 วัน ให้แกะผนึกน้ำออกแล้วใส่เบียร์เอลในตู้เย็นอีกสองวัน อย่างระมัดระวัง!เมื่อเปิดออกอาจมีปฏิกิริยารุนแรงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน เตรียมปิดฝาเหมือนเขย่าด้วยโซดา
คุณสมบัติอื่นเนื่องจากทำให้เบียร์ในขวด 2 ลิตรเหมาะสม - ไม่ใช่ทุกคนที่มีที่ในตู้เย็นที่จะช่วยให้คุณสามารถวางกระป๋องขนาด 5 ลิตรได้ หลังจากแช่ตู้เย็นสองวันแล้ว อย่าลืมเทน้ำขิงที่ปรุงเสร็จแล้วลงในภาชนะอื่น (อย่างน้อยก็ในกระป๋องเดียวกัน) ผ่านผ้าชีส หลังจากนั้นเบียร์เอลก็ดื่มได้อยู่แล้ว แต่ฉันชอบที่จะถือไว้อีกวันหรือสองวัน จากนั้นมันก็กลายเป็นน้ำอัดลมสูงและอร่อยมากขึ้นในความคิดของฉัน
ฉันหวังว่าคุณจะชอบสูตรน้ำขิงของฉัน แม้ว่ามันจะมีรสชาติที่เฉพาะเจาะจงมากก็ตาม
pivoopennoe.ru
สูตรเบียร์
Dmitry Aleksandrovich
สำหรับสูตรคุณจะต้อง:
มอลต์แห้งเบา - 2.1 กก.
คริสตัลมอลต์ - 227g
มอลต์มิวนิก - 57g
มอลต์ช็อกโกแลต - 99g
น้ำตาลทรายแดง - 227g
เดกซ์ทรินผง - 113g
ยิปซั่ม - 1/2 ช้อนชา
เกลือ - 3/4 ช้อนชา
ฮ็อพ - 80g
น้ำ - 22l
น้ำตาล - 3/4 ถ้วย
ยีสต์สำหรับเบียร์ - 14g.
เทมอลต์กับน้ำ ตั้งไฟให้ร้อนถึง 66°C และทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงในที่อบอุ่น ใส่กระชอนบนกระทะทิ้งเมล็ดพืชแล้วล้างออกด้วยน้ำร้อน (สูงถึง 50 ° C) ใช้ของเหลวทั้งหมดในการจัดเตรียมเพิ่มเติม ละลายมอลต์แห้ง ยิปซั่ม น้ำตาลทรายแดง เด็กซ์ทริน และเกลือ ในปริมาณน้ำเท่ากับ 7.5-8 ลิตรแล้วต้ม เพิ่มฮ็อพที่หลากหลายพร้อมกับมอลต์สีน้ำตาลและต้มประมาณครึ่งชั่วโมง สุดท้าย ใส่ฮ็อปที่มีกลิ่นหอม ทำให้ของเหลวเย็นลงที่อุณหภูมิ 20-25°C แล้วใส่ยีสต์ลงไป เทของเหลวลงในภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเติม 2/3 ตรวจสอบความแน่นของภาชนะและหมักทิ้งไว้ 5-7 วัน เทเบียร์ที่เสร็จแล้วลงในภาชนะอื่นอย่างระมัดระวัง พยายามอย่ากวนตะกอนที่ก่อตัวขึ้น คุณสามารถทำได้ในสองขั้นตอนโดยมีช่วงเวลาสองวัน จากนั้นคุณจะได้เบียร์ที่ไม่มีตะกอน ต้มน้ำตาลและเพิ่มเบียร์ เทเบียร์ลงในขวด ปิดขวดโดยเว้นที่ว่างไว้ใต้ฝา El สามารถลิ้มรสได้ใน 1-3 สัปดาห์
อิลยาซอฟนา
วิธีทำจินเจอร์เอล 10 ลิตร:
* น้ำตาลทราย 3 และ 3/4 ปอนด์ (1 ปอนด์ = 453 กรัม)
* รากขิงสดขูด 3 และ 3/4 ออนซ์ (1 ออนซ์ = 28.3 กรัม)
* ทาร์ทาร์ 1 ออนซ์
* 4 มะนาวในไตรมาส
* ยีสต์เอล 1 ซอง
ปรุงส่วนผสมทั้งหมดด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 30 นาที เย็นถึง 17 องศาและเพิ่มยีสต์ หมักทิ้งไว้ 24 ชม. แล้วกรอง ปล่อยให้สุกจนกว่าการหมักจะสิ้นสุดลง
ในการผลิตภาพยนตร์จะใช้แทนภาพเบียร์จริงเพื่อไม่ให้ศิลปินมึนเมา
เอลคืออะไร จินเจอร์เอล? มันเป็นเบียร์หรือไม่?
นาตาเลีย
ประเภทและยี่ห้อของเอล:
ขม (ขม)
ไลท์เอล (Light Ale)
เบียร์อ่อน
India Pale Ale (เบียร์เอลอินเดีย)
ไวน์ข้าวบาร์เลย์ (ไวน์ข้าวบาร์เลย์)
อ้วน
พอร์เตอร์
บราวน์เอล
Old Ale
แลมบิก
Alt (Alt)
มีร์@zh
เอล เบียร์ เสมอ
เดนิส เทเรชเชนโก
ความคล้ายคลึงของเบียร์ แอลกอฮอล์
Alexander Tulenkov
เอลเบียร์ในภาษาอังกฤษ ผลิตจากวัตถุดิบเดียวกับเบียร์!
ผู้เชี่ยวชาญ
นี่คือสิ่งที่คล้ายกับเบียร์ แต่จะแข็งแกร่งกว่า ของอร่อย.
มาเรีย
เหล้าอย่างนั้น เอ เค
อารีน่า
นี่คือชเวปส์
Alena Lyakh
เอล (อังกฤษ ale) เป็นเบียร์รสขมเข้มข้นที่เกิดจากการหมักอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิค่อนข้างสูง
Ale เป็นที่รู้จักในอังกฤษตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นอย่างน้อย , เครื่องดื่มแบบเดียวกันที่ไม่มีฮ็อปถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 7
สูตรการประดิษฐ์
ส่วนประกอบสำหรับ 5 แกลลอน:
น้ำตาลทราย 3 และ 3/4 ปอนด์
3 และ 3/4 ออนซ์ขูดรากขิงสด
ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ออนซ์
มะนาว 4 ลูก
ยีสต์เอล 1 ซอง
รสชาติเหมือนพินอคคิโอของโซเวียต
ในรัสเซีย Ginger Ales อยู่ภายใต้แบรนด์ Evervess และ Schweppes
อเล็กซ์
Ginger Ale เป็นเครื่องดื่มที่มีรสหวานและมีรสขิง
ใช้ในรูปแบบบริสุทธิ์หรือเป็นส่วนประกอบของค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้น (วอดก้า, จิน, วิสกี้) ในการผลิตภาพยนตร์จะใช้แทนภาพเบียร์จริงเพื่อไม่ให้ศิลปินมึนเมา
สูตรการประดิษฐ์
Jamaican Ginger Ale (สูตรของบริษัท Boston Brewing ไม่มีการต้มอีกต่อไป)
ส่วนประกอบสำหรับ 5 แกลลอน:
* น้ำตาลทราย 3 และ 3/4 ปอนด์
* รากขิงสดขูด 3 และ 3/4 ออนซ์
* ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ออนซ์
* 4 มะนาวในไตรมาส
* ยีสต์เอล 1 ซอง
ปรุงส่วนผสมทั้งหมดด้วยไฟอ่อนเป็นเวลา 30 นาที เย็นถึง 17°C แล้วใส่ยีสต์ลงไป หมักทิ้งไว้ 24 ชม. แล้วกรอง ปล่อยให้สุกจนกว่าการหมักจะสิ้นสุดลง
รสชาติเหมือนพินอคคิโอของโซเวียต
เครื่องดื่มถูกคิดค้นขึ้นในยุค 70 ของศตวรรษที่ 19
ในรัสเซีย Ginger Ales อยู่ภายใต้แบรนด์ Evervess และ Schweppes
นักดื่มเบียร์หลายคนเชื่อว่าไอริชเอลเป็นเบียร์ประเภทหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นความจริงทั้งหมด เครื่องดื่มเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมากในด้านองค์ประกอบและเทคโนโลยีการผลิต ทุกวันนี้ ผับอังกฤษและไอริชเสิร์ฟเบียร์เอลในทุกรสชาติและทุกสี ตั้งแต่เบียร์ที่แข็งแรงสีดำที่มีความขมขื่นที่เด่นชัดไปจนถึงสีเหลืองอำพันที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของทุ่งหญ้า
เอลคืออะไร?
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาวสุเมเรียนโบราณได้พบกับเครื่องดื่มดังกล่าวเป็นครั้งแรกก่อนยุคของเรา อย่างไรก็ตามองค์ประกอบและเทคโนโลยีการผลิตเบียร์ได้รับการพัฒนาในศตวรรษที่สิบสองเท่านั้น อี ตั้งแต่นั้นมาเครื่องดื่มก็เข้ามาในชีวิตของผู้คนอย่างแน่นหนา ในยุคกลาง ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์หลักและเนื่องจากมีแคลอรีสูง จึงมาแทนที่ขนมปัง เบียร์เอลสีอ่อนและเบียร์ดำยังคงถูกกลั่นตามสูตรเก่า
จนกระทั่งศตวรรษที่ 15 ฮ็อพไม่ได้ใช้ในการผลิตเบียร์ในเกาะอังกฤษ ทุกอย่างที่ได้จากการหมักเรียกว่าเอล พวกเขาดื่มมันทุกวันที่โต๊ะเหมือน kvass ในรัสเซีย ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เน่าเสียและไม่ต้องการสภาวะในการเก็บรักษาพิเศษต่างจากนม หลังจากเริ่มนำเข้าฮ็อปหอมจากเนเธอร์แลนด์ในสหราชอาณาจักรแล้ว พวกเขาก็เริ่มแยกแยะความแตกต่างระหว่างฮ็อพแบบดั้งเดิมกับเบียร์เอลไอริชที่มีทั้งแบบเข้มและอ่อน
คำว่า "เอล" มีรากศัพท์มาจากภาษาอินโด-ยูโรเปียน แปลว่า "มึนเมา" รุ่นนี้ได้รับการยืนยันโดยการมีคำที่คล้ายกันในภาษาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ (ภาษาเดนมาร์กและนอร์เวย์ "ol", "alus" ของลิทัวเนียและลัตเวีย, "olut" ของฟินแลนด์) ในภาคเหนือของรัสเซียเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำเรียกว่า "ol"
เอลแตกต่างจากเบียร์อย่างไร?
เพื่อให้เข้าใจว่าเอลแตกต่างจากเบียร์อย่างไร คุณควรพิจารณาขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์ ดาร์กเอลของอังกฤษและไอริชผ่านการหมักอย่างดี ตามสูตรโบราณนี้ ยีสต์จะลอยขึ้นสู่ผิวของสาโทเบียร์ในเวลาไม่กี่วัน เครื่องดื่มดังกล่าวหมักได้เร็วกว่าการใช้การหมักด้านล่าง (ไม่เกิน 6 วัน)
ความแตกต่างระหว่างเบียร์เอลกับเบียร์ยังปรากฏอยู่ในอุณหภูมิที่แก่ของสาโทอีกด้วย เมื่อเตรียมเครื่องดื่มแบบอังกฤษดั้งเดิม จะสูงกว่า: สูงถึง+21ºС การหมักที่อุณหภูมิสูงจะเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทำความเย็นเพิ่มเติม ดังนั้นผลิตภัณฑ์จึงอิ่มตัวด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารอะโรมาติกอื่น ๆ จากนั้นเทลงในภาชนะโลหะพิเศษแล้วส่งไปหมักที่อุณหภูมิ +11…+14ºС
ฮ็อปจะไม่ถูกเติมลงในเบียร์ซึ่งต่างจากเบียร์ลาเกอร์ แทนที่จะใช้ gruit ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรและเครื่องเทศต่างๆ แทนการใช้สารกันบูดและสารแต่งกลิ่นรส ต้มในต้องพวกเขาอิ่มตัวผลิตภัณฑ์ด้วยกลิ่นผลไม้และทุ่งหญ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ชอบข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์น้อยกว่าข้าวไรย์ สูตรอาหารบางอย่างรวมถึงธัญพืชที่ไม่ผ่านการบด
เนื่องจากไม่มีฮ็อป ความขมในเบียร์จึงไม่สดใสเหมือนในแคมป์ รสชาติเข้มข้นขึ้นและเข้มขึ้นและสีเข้มขึ้น เครื่องดื่มแบบอังกฤษดั้งเดิมมีความเข้มข้นสูงกว่าโดยเฉลี่ย บางพันธุ์ถึง 12-15% vol. ที่ความหนาแน่นเริ่มต้นของสาโท 30-35% เพื่อเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ใช้น้ำที่อุดมไปด้วยเกลือแร่ วัฏจักรเทคโนโลยีทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์ แต่ในบางกรณีอาจถึงหลายเดือน
องค์ประกอบและคุณสมบัติที่มีประโยชน์
เบียร์เอลสดแท้จะไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์หรือกรองต่างจากลาเกอร์ เป็นผลให้มันยังคงรักษาสารที่มีประโยชน์มากมายที่พบในยีสต์ของผู้ผลิตเบียร์และมอลต์ข้าวบาร์เลย์ หลังอุดมไปด้วยองค์ประกอบที่มีคุณค่าเช่นฟอสฟอรัสแมกนีเซียมและแคลเซียม วิตามินของกลุ่ม B และ E ซึ่งมีอยู่ในผลิตภัณฑ์จากธัญพืชมากมาย ทำให้กระบวนการเผาผลาญเป็นปกติและมีผลดีต่อสภาพของผิวหนัง
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผลิตภัณฑ์หมักดองที่เรียกว่า "ขนมปังเหลว" เป็นแหล่งของกรดอะมิโนซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนามวลกล้ามเนื้อตามปกติ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผลิตภัณฑ์จากพืชผลขมมีผลกดประสาทในร่างกายและมีผลดีต่อการนอนหลับ ด้วยการบริโภคเบียร์เป็นประจำ การย่อยอาหารเป็นปกติ การหลั่งน้ำย่อยจะเข้มข้นขึ้น และการมองเห็นจะดีขึ้น
ผลิตภัณฑ์หมักยอดนิยมให้การสนับสนุนผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เครื่องดื่มเช่นเบียร์สีเขียวขยายหลอดเลือดและช่วยต่อสู้กับหลอดเลือด ในเวลาเดียวกัน คุณควรปฏิบัติตามมาตรการและอย่าใช้ปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณดื่มในทางที่ผิด และสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรควรปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
พันธุ์เอล
Porter เป็นเบียร์เอลเข้มที่มีต้นกำเนิดในอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ผลิตภัณฑ์นี้จัดทำขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้แรงงานหนัก โดยมีหลักฐานจากชื่อ ("พนักงานยกกระเป๋า" ในภาษาอังกฤษแปลว่า "ผู้ขนสัมภาระ" หรือ "พนักงานยกกระเป๋า") ดังนั้นจึงมีปริมาณแคลอรี่สูงและประกอบด้วยกรดอะมิโนจำนวนมาก Porter เป็นเครื่องดื่มที่มีฟองเกือบเป็นสีดำ ซึ่งทำมาจากมอลต์หลายประเภท ได้แก่ อ่อน เข้ม และไหม้ ความแรงของเครื่องดื่มอยู่ที่ 5 ถึง 7.5% ปริมาตร ที่ความหนาแน่น 11-14%
ไวน์บาร์เลย์เป็นเบียร์เอลที่มีความเข้มข้นสูง (มากถึง 13% ปริมาตร) ที่มีความหนาแน่นสูง (มากถึง 30%) ของสีทองแดงเข้ม ดังนั้นชื่อ: ไวน์ข้าวบาร์เลย์. รสคาราเมลเข้ากันกับความขมของเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์บรรจุขวดในรูปแบบดั้งเดิมและมักเสิร์ฟในแก้วไวน์ ไวน์ข้าวบาร์เลย์ต่างจากพันธุ์อื่นๆ
Mild Ale เป็นเบียร์เอลอ่อนที่ชวนให้นึกถึง kvass ของรัสเซีย ความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ต่ำ: ประมาณ 3% ปริมาตร ที่ความหนาแน่น 8.5% เครื่องดื่มเผยให้เห็นทุกเฉดสีของมอลต์และไม่มีรสขมเด่นชัด
Pale Ale เป็นเครื่องดื่มสีเหลืองอำพันสีทองอ่อน นอกจากมอลต์แล้ว ยังมีรสผลไม้และถั่วที่เด่นชัดอีกด้วย ผลิตภัณฑ์นี้ทำมาจากน้ำที่อุดมไปด้วยเกลือแร่ โดยเฉพาะแคลเซียมซัลเฟต ป้อมปราการมีปริมาตรประมาณ 5% และความหนาแน่นของป้อมปราการต้องสูงถึง 15%
อ้วนเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพนักงานยกกระเป๋าโดยชอบธรรม กลิ่นหอมของมอลต์คั่วในผลิตภัณฑ์นี้เด่นชัดกว่าในพอร์เตอร์ ซึ่งบางครั้งอาจถึงความขมของกาแฟ สเตาท์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผลิตโดยกินเนสส์ นี่คือเครื่องดื่มไอริชคลาสสิกที่มีกลิ่นหอมของมอลต์คาราเมล เอลสเตาต์มีหลายประเภท: หวาน แห้ง ข้าวโอ๊ต ความแข็งแรงเฉลี่ยของพวกเขาคือ 4-6% vol. ที่ความหนาแน่น 10-14%
Bitter Ale เป็นเครื่องดื่มที่มีสีเหลืองอำพันและทองแดงที่มีความขมของฮ็อพเด่นชัด ฮ็อปหอมถูกเติมลงในเบียร์เอลขมต่างจากพันธุ์อื่นๆ แยกแยะระหว่างรสขมธรรมดาและรสขมพิเศษ ความแรงของเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณ 3.5% โดยปริมาตรความหนาแน่นของสาโทเบียร์อยู่ที่ 9-11%
วิธีดื่มเอล
เครื่องดื่มนี้เป็นไฮไลท์ของรายการในผับอังกฤษและไอริชที่มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับเบียร์ทั่วไป เอลไม่ทนต่อความยุ่งยาก กระบวนการเติมแก้วบางครั้งอาจใช้เวลานานถึง 5 นาที เทของเหลวลงไปตามผนังด้านในของแก้วอย่างระมัดระวังเพื่อปิดฝาโฟม
จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มช้าๆ ทุกจิบ เชื่อกันว่าอัตราการบริโภคเบียร์ควรสอดคล้องกับขั้นตอนของม้าที่สบาย อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่คุ้มที่จะรอช้าเกินไป เพราะเมื่อเวลาผ่านไป “ขนมปังเหลว” จะสูญเสียกลิ่นและรสชาติไป ก่อนเสิร์ฟ เบียร์จะถูกทำให้เย็นลงถึง +7…+12ºС บางคนชอบอุ่นเครื่องกับพนักงานยกกระเป๋าหรือคนอ้วน แต่นี่เป็นเรื่องของรสนิยม
ในฤดูร้อนพันธุ์แสงจะดีกว่าและผลิตภัณฑ์สีเข้มจะเสิร์ฟในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่มีฝนตกชุก เอลเป็นเครื่องดื่มอเนกประสงค์ที่เข้ากันได้ดีกับอาหารหลากหลายประเภท พันธุ์เบาเสริมด้วยของขบเคี้ยวรสเผ็ด อำพันเสิร์ฟพร้อมอาหารทุกจาน ตั้งแต่ซุปไปจนถึงสตูว์ผัก เบียร์ดำเข้ากันได้ดีกับผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์: เกม เนื้อลูกวัว ไก่ ไส้กรอก
บทความที่เกี่ยวข้อง
